เทศบาลเมืองโพธาราม ทำ MOU กับ สถาบัน พว. พัฒนาการเรียนรู้ Active Learning พร้อมเปิดบ้านโชว์ผลงานความสำเร็จจาก MOUรอบแรก

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 หอประชุมเทศบาลเมืองโพธาราม (ริมน้ำ) เทศบาลเมืองโพธาราม .ราชบุรี ได้จัดโครงการเปิดบ้านวิชาการเสริมความรู้สู่ทักษะอาชีพ (Soft Power) ของโรงเรียนในสังกัด และพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ระหว่างโรงเรียนเทศบาลวัดไทรอารีรักษ์ (มณีวิทยา) กับสถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) โดยมีนายประมวล พฤฑฒิกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาลวัดไทรอารีรักษ์ (มณีวิทยา) และนายไพศาล โรจน์สราญรมย์ รองประธานกรรมการบริหาร สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) ร่วมลงนาม

ความร่วมมือครั้งนี้ สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) และโรงเรียนเทศบาลวัดไทรอารีรักษ์ (มณีวิทยา) ตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันที่มีต่อการพัฒนาการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยดำเนินงานตามกรอบแนวทางสอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ด้านการศึกษาที่ได้กำหนดกิจกรรมปฏิรูปที่ 2 การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 โดยการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนในปัจจุบันไปสู่การเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ภายใต้หลักสูตรอิงมาตรฐาน (Standard-based Curriculum) ด้วยการพัฒนาคุณภาพและศักยภาพ รวมทั้งส่งเสริมความเป็นเลิศทางวิชาชีพของครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนเทศบาลวัดไทรอารีรักษ์ (มณีวิทยา) ในการยกระดับคุณภาพผู้เรียนให้มีความถนัดและความฉลาดที่แตกต่างกัน ผู้เรียนสามารถถักทอสร้างความรู้ได้เองจนถึงระดับหลักการ เกิดสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ทุกด้านรวมทั้งเกิดผลลัพธ์เป็นผลผลิต เช่น ชิ้นงาน โครงงาน นวัตกรรม จนส่งผลให้ผู้เรียนทุกคนสามารถพัฒนาเป็นนวัตกรได้ตามที่ยุทธศาสตร์ชาติกำหนดไว้

นายเกรียงศักดิ์ นุตตะโร ผู้อำนวยการกองการศึกษา เทศบาลเมืองโพธาราม กล่าวว่าการลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ (MOU)วันนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของเทศบาลเมืองโพธารามที่จะยกระดับการเรียนการสอนของสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลเมืองโพธาราม ซึ่งเป็นการต่อยอดจาก MOUครั้งแรกเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลเมืองโพธารามมีการยกระดับสูงขึ้น และวันนี้ทางเทศบาลเมืองโพธารามจึงได้นำผลงานของนักเรียนมาจัดแสดงในส่วนของการนำกิจกรรมการจัดการเรียนรู้มาพัฒนาสู่ทักษะอาชีพ (Soft Power) ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่มุ่งหวังที่จะผลักดันให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมประเภทนี้ขึ้นเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศในภาพรวมต่อไป

นายประมวล พฤฑฒิกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาลวัดไทรอารีรักษ์ (มณีวิทยา) กล่าวว่า แนวคิดในการจัดโครงการเปิดบ้านวิชาการเสริมความรู้สู่ทักษะอาชีพ (Soft Power) ในครั้งนี้ เนื่องจากมีการสอดแทรกเข้าไปในหลักสูตรของโรงเรียน และมีการนำผลขยายจากหลักสูตรสู่นักเรียน ทำให้นักเรียนได้เห็นว่าสามารถจะมีส่วนในการเชิดชูวัฒนธรรมไทยได้ด้วย

ดร.กรัณย์พล วิวรรธมงคล วิทยากร สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) กล่าวว่าพว.มุ่งเน้นในเรื่องของการยกระดับคุณภาพผลการสอบโอเน็ตของนักเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่21 และมุ่งส่งเสริมการขับเคลื่อนชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อให้ครู ชุมชนและหน่วยงานต่างๆ ได้เข้ามาร่วมมือกันในการพัฒนายกระดับสมรรถนะของผู้เรียนให้เกิดขีดความสามารถเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล

“ถกเดือด“ปมพิมพ์หนังสือองค์การค้า สกสค.ปี68 งบพันล้าน ”รุ่งศิลป์“โอดเจอกีดกันไม่ได้งาน ทั้งที่เสนอราคาต่ำกว่าอื้อ

 “กมธ.ป.ป.ช. สภาฯ” ถกเดือดโครงการพิมพ์แบบเรียนปี 68 งบฯพันล้าน “ก.บัญชีกลาง” จัดหนัก “องค์การค้าของ สกสค.” เจตนากีดกันแข่งขัน ส่อปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะเคยมีหนังสือแจ้งขัดต่อพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง ฯ 2560 ด้าน “องค์การค้าฯ” สวนกลับส่งหนังสือปี 67 ไม่ทัน จนต้องบอกเลิกสัญญา เจอ“รุ่งศิลป์”งัดหลักฐานฝ่ายผลิตเซ็นยอมรับสวน
เมื่อวันที่ 7 มี.ค.68 ที่อาคารรัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 6  มีนาคม 2568  ในการประชุมคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายฉลาด ขามช่วง สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ที่ประชุม ได้มีการพิจารณาเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2568 จำนวน 145 รายการ งบประมาณ 1,060 ล้านบาท ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้าของ สกสค.) ที่มีลักษณะกีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่ง บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1997) จำกัด ร่วมเสนอราคาร้องเรียนต่อ กมธ.ป.ป.ช.สภาผู้แทนราษฎร โดย กมธ.ป.ป.ช.ได้เชิญ ผู้แทนองค์การค้าของ สกสค. ในฐานะผู้ถูกร้อง และ ผู้แทนบริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1997) จำกัด (บจ.รุ่งศิลป์ฯ) ในฐานะผู้ร้อง รวมถึง ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ในฐานะกำกับดูแลระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เข้าร่วมชี้แจง
นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม.พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธาน กมธ.ฯ คนที่ 1 ได้สอบถามถึงประเด็นที่ บจ.รุ่งศิลป์ฯ ได้ร้องเรียนว่า ในขอบเขตงาน (ทีโออาร์) ของโครงการฯ ทั้งครั้งที่เปิดประกวดราคาโดยวิธี e-bidding ซึ่งยกเลิกไปแล้ว และการประกวดราคาโดยวิธีคัดเลือก มีการระบุถึงคุณสมบัติผู้เข้าร่วมเสนอราคาว่า ต้องไม่เป็นผู้ที่ถูกองค์การค้าของ สกสค.ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา  ซึ่ง บจ.รุ่งศิลป์ฯ แจ้งว่าได้ถูก องค์การค้าของ สกสค.บอกเลิกสัญญาบางรายการของโครงการจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2567 อย่างไม่เป็นธรรม และยังมีคดีความที่ยังไม่สิ้นสุดอยู่ในชั้นศาล จึงมองว่าเป็นการกีดกัน บจ.รุ่งศิลป์ฯ ในการเข้าร่วมเสนอราคาของโครงการปี 2568 และได้ร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง และอยู่ระหว่างการไต่สวนมูลฟ้องด้วย
ทางด้านผู้แทนกรมบัญชีกลาง ชี้แจงว่า กรณีองค์การค้าฯกีดกัน บจ.รุ่งศิลป์ฯ ได้ร้องเรียนมายัง กรม บัญชีกลาง 2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 2 ม.ค.68 ขณะมีการประกวดราคาโดยวิธี e-bidding ที่ได้ยกเลิกไปแล้ว ถือว่าคำร้องสิ้นสุด และเมื่อวันที่ 27 ก.พ.68 ช่วงประกวดราคาโดยวิธีการคัดเลือก ซึ่งอยู่ในระหว่างหาข้อมูลประกอบการพิจารณา จึงยังไม่ได้ตอบกลับข้อร้องเรียนของ บจ.รุ่งศิลป์ฯ อย่างไรก็ตาม โครงการฯปี 2567 ทาง บจ.รุ่งศิลป์ฯ ก็เคยได้หารือในกรณีถูกกีดกันมาเช่นกัน กรมบัญชีกลาง ก็เคยตอบกลับแล้วว่า การกำหนดคุณสมบัติผู้เสนอราคาว่า ต้องไม่เคยถูกบอกเลิกสัญญา หรือเคยทำให้หน่วยงานเสียหาย ไม่สามารถกำหนดในทีโออาร์ได้ เพราะขัดกับมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 (พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ)
“โดยหลักการแล้ว ไม่ว่าจะประกวดราคาโดยวิธีการใด หากระบุในทีโออาร์เกี่ยวกับคุณสมบัติการถูกบอกเลิกสัญญา หรือทำให้หน่วยงานเสียหายในลักษณะนี้ ถือเป็นการกีดกันทั้งสิ้น ซึ่งกรมบัญชีกลางได้เคยตอบข้อหารือไปหมดแล้ว แต่การที่หน่วยงานนำไปดำเนินการอย่างไร กรมบัญชีกลางก็อาจไม่รับรู้ได้ทุกรายการ แต่ยืนยันว่าเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามระเบียบหรือกฎหมาย” ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงนายธีรัจชัย ทำหน้าที่ประธานการประชุม กล่าวสรุปว่า  กรณีที่ กรมบัญชีกลาง มีความเห็น หรือเคยเตือนแล้วว่า ขัดต่อกฎหมาย แต่หน่วยงานยังดำเนินการต่ออีก ก็ถือว่าเจตนาที่จะกีดกัน เข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ด้าน นายนัทธพลพงศ์ จิวัจฉรานุกูล รองกรรมการผู้จัดการ บจ.รุ่งศิลป์ฯ กล่าวเสริมว่า การประกวดราคาโดยวิธีการคัดเลือก บริษัทฯก็ได้เข้าร่วมเสนอราคาด้วย และหลังจากมีการประกาศผลการประกวดราคา ปรากฎว่า บริษัทฯ ไม่ได้รับการคัดเลือกแม้แต่รายการเดียว ทั้งที่มีอย่างน้อย 30รายการ จาก 145 รายการ ที่บริษัทฯเสนอราคาต่ำกว่าผู้ชนะการประกวดราคาค่อนข้างมาก จึงเชื่อว่ามีการใช้เงื่อนไขที่ระบุในทีโออาร์ในเรื่องการถูกบอกเลิกสัญญา รวมถึงต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยทำให้องค์การค้าของ สกสค.เสียหาย มากีดกันโดยตัดคะแนน หรือตัดคุณสมบัติบริษัทฯ อย่างไม่เป็นธรรม โดยที่ยังไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริง เพราะองค์การค้าของ สกสค.ประกาศเฉพาะผู้ชนะการประกวดราคา แต่ไม่ได้แนบแบบฟอร์มการให้คะแนนแต่ละรายการตามที่ กรมบัญชีกลาง กำหนด
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การที่หน่วยงานใช้เกณฑ์การประเมินค่าประสิทธิภาพต่อราคา (Price Performance) ในการประกวดราคาอาจเปิดช่องให้มีการล็อกสเปกได้ โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างที่มีความซับซ้อนทางเทคนิค อย่างโครงการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียนขององค์การค้าของ สกสค. ก็มีในส่วนการกำหนดคุณสมบัติกระดาษ ที่ถูกร้องเรียนว่า ไปตรงกับคุณสมบัติกระดาษของผู้นำเข้ารายเดียวในประเทศไทย
จากนั้น ผู้แทนกรมบัญชีกลาง กล่าวตอบว่า เป็นดุลพินิจของแต่ละหน่วยงานที่จะกำหนดใช้เกณฑ์ Price Performance หรือไม่ แต่หน่วยงานต้องกำหนดเกณฑ์ให้ชัดเจนเพื่อให้มีการแข่งขันในด้านคุณภาพอย่างแท้จริง ซึ่งบางกรณี กรมบัญชีกลาง ก็ไม่อาจล่วงรู้ถึงเหตุผลความจำเป็นจริงๆ แต่ถ้ากำหนดคุณสมบัติกระดาษแล้วไปตรงกับเจ้าใดเจ้าหนึ่งในประเทศก็ถือว่า ล็อกสเปก เพราะอย่างน้อยต้องมี 3 ราย
ขณะที่ ผู้แทนองค์การค้าของ สกสค.ได้กล่าวยืนยันว่า ในการรับจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนปี 2567 ของ บจ.รุ่งศิลป์ฯ ได้ส่งหนังสือไม่ทันตามกำหนด โดยอ้างว่าได้รับปกหนังสือไม่ครบ จึงจำเป็นต้องบอกเลิกสัญญา เพราะในความเป็นจริง องค์การค้าฯ ได้ส่งปกให้ตามกำหนด และมีเกินจำนวนสำรองไปด้วย ซึ่ง บจ.รุ่งศิลป์ฯ ก็ได้ลงนามรับปกหนังสือไปเป็นที่เรียบร้อย แต่กลับทำหนังสือโต้แย้งมาภายหลังว่า ได้รับปกหนังสือไม่ครบ หลังจากที่ผ่านไปเกินกว่า 20 วัน ดังนั้นจึงไม่น่าจะเกิดความผิดพลาดในชั้นขององค์การค้าฯ แต่องค์การค้าฯก็ได้สั่งผลิตปกหนังสือเพิ่มกลับไปให้ เพราะต้องการหนังสือเรียนให้กับเด็กนักเรียน นอกจากนี้ทาง บจ.รุ่งศิลป์ฯ ก็มีการขอขยายระยะเวลาสัญญา เนื่องจากจัดส่งหนังสือได้ไม่ทันตามกำหนดด้วย
ซึ่งผู้แทน บจ.รุ่งศิลป์ฯ ชี้แจงว่า ปกหนังสือทั้งหมดตามรายการที่บริษัทฯ ได้รับว่าจ้างมีจำนวนมาก และแพ็คส่งมาในพาเลท มีการทยอยส่งมาเป็นระยะ บริษัทฯ จึงไม่ได้ตรวจนับขณะได้รับจริงๆ ว่าครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ ก่อนมาพบภายหลังว่าไม่ครบตามจำนวนและบางส่วนชำรุดด้วย จึงได้ทำการโต้แย้งไปยังองค์การค้าของ สกสค. และก็มีผู้รับผิดชอบขององค์การค้าของ สกสค.ลงนามรับทราบว่า ส่งปกหนังสือไม่ครบจริงๆ.

“ครูเอ” ฉุน รักษาการผอ.โรงเรียนฯ ในอำเภอบางซ้าย จ.อยุธยา ทำอนาจารนักเรียนชาย ออกคำสั่งย้ายออกนอกพื้นที่ ตั้งกรรมการสอบฯถ้าพบว่ากระทำความผิดจริงให้ลงโทษทางวินัยและอาญา

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  กล่าวถึงกรณีนักเรียนถูกรักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอบางซ้าย จ.อยุธยาฯ ล่วงละเมิดทางเพศ ว่า ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวแล้ว โดยเบื้องต้นได้รับรายงาน ว่ารักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนดังกล่าว มีพฤติกรรมกระทำอนาจารนักเรียนชายจำนวน 13 ราย ทาง สพป.พระนครศรีอยุธยา เขต 2 จึงดำเนินการ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน โดยขณะนี้ทาง ครู และผู้ปกครอง ได้นำนักเรียนไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรบางซ้าย ซึ่งสถานีตำรวจได้ดำเนินการรับแจ้งความเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกัน สพป.พระนครศรีอยุธยา เขต 2 ก็ได้ทราบข้อเท็จจริงจากตำรวจ ตนจึงได้สั่งการเขตพื้นที่ฯออกคำสั่งให้รักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนดังกล่าว มาปฏิบัติหน้าที่ ณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา พร้อมให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ตนได้กำชับให้ สพฐ.ดำเนินการให้ถึงที่สุด และให้ดำเนินการย้ายรักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนดังกล่าวออกนอกพื้นที่และห้ามเข้ามาในพื้นที่เด็ดขาด และหากผลการสืบสวนข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ ว่ารักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนดังกล่าวกระทำอนาจารจริง ก็ให้ดำเนินคดีให้หนักที่สุด ทั้งโทษทางวินัยและโทษทางอาญา ที่สำคัญขอให้เร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ขอให้ทางโรงเรียนติดตาม ประเมินสภาพจิตใจลูกๆนักเรียน ร่วมทั้งหารือแนวทางการดูแลช่วยเหลือเยียวยานักเรียนร่วมกับทีมสหวิชาชีพด้วย

ทุบสถิติสูงสุดในรอบ 15 ปี เด็กกว่า 1.3 หมื่นคน แห่สอบแข่งขันเข้า ม.4 เตรียมอุดมฯ  “เสมา 2”ชื่นชม โรงเรียนเตรียมการรับมืออย่างดี จัดสอบด้วยความเรียบร้อย

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ได้รับมอบหมายจาก ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ.ให้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสนามสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาต่อระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ประจำปีการศึกษา 2568 โดยมี นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานฯ พร้อมด้วย นายนิยม ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน นายอดุลย์ศักดิ์ บุญเอนก ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1 (ผอ.สพม.กท1) นายบุณยพงศ์ โพธิวัฒน์ธนัต ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ร่วมการตรวจเยี่ยม ณ อาคารอิมแพค ชาเลนเจอร์ 1 และ 2 อิมแพค เมืองทองธานี

นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า ภาพรวมการจัดสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โรงเรียนมีการเตรียมความพร้อมและดำเนินการจัดสอบอย่างรัดกุม บนพื้นฐานของความโปร่งใส ปลอดภัย สะดวก และรวดเร็ว ซึ่งเป็นเรื่องที่พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสำคัญและเน้นย้ำ นอกจากนี้การดำเนินการรับนักเรียนก็เป็นไปตามนโยบายและแนวปฏิบัติที่ สพฐ.กำหนด มีการแต่งตั้งกรรมการกำกับการสอบ ดำเนินการสื่อสารประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว ทำให้ผู้ปกครองและนักเรียนทราบข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการรับสมัคร การเตรียมตัวเข้าสอบเป็นอย่างดี และได้คำนึงถึงความปลอดภัย โดยจัดทีมแพทย์และพยาบาล ห้องฉุกเฉิน รวมทั้งรถพยาบาล สำหรับคอยให้ความดูแล ช่วยเหลือ กรณีมีเหตุเจ็บป่วยกะทันหัน ทั้งนี้ ขอให้กำลังใจนักเรียนและผู้ปกครองทุกท่าน เชื่อมั่นว่านักเรียนทุกคนล้วนมีความสามารถ และมีความมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะผ่านการคัดเลือก แต่ด้วยจำนวนนักเรียนที่สามารถรับได้เพียง 1,520 คน จึงอาจทำให้นักเรียนส่วนใหญ่ไม่สมหวัง ก็ขออย่าได้ท้อถอย และ สพฐ.ก็มีโรงเรียนเพียงพอสำหรับรองรับนักเรียนทุกคนแน่นอน

ด้าน นายภูธร  กล่าวว่า สำหรับการสอบครั้งนี้จะประกาศผลการสอบ ภายในวันที่ 14 มีนาคม 2568 โดยนักเรียนที่พลาดโอกาสในครั้งนี้ สามารถเข้าสอบคัดเลือกเพื่อเข้าเรียนชั้น ม.4 ในรอบการสอบห้องเรียนปกติได้อีกครั้ง ซึ่งจะมีทั้งโรงเรียนยอดนิยมและโรงเรียนคุณภาพ ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ขอให้มั่นใจว่าโรงเรียนในสังกัด สพฐ. มีนโยบาย 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ ตามนโยบายของว่า เลขาธิการ กพฐ. ที่ให้ความสำคัญกับผู้เรียนในทุกระดับชั้น โดยการยกระดับให้โรงเรียนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศมีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้นักเรียนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเสมอภาคและทั่วถึง รวมถึงส่งเสริมการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ และการศึกษาเพื่อความมั่นคงของชีวิตสำหรับนักเรียนทุกคน

ทั้งนี้ มีนักเรียนเข้าร่วมการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับ ชั้น ม.4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาครั้งนี้ 13,361 คน ซึ่งเป็นสถิติจำนวนผู้สมัครสอบมากที่สุด ในรอบ 15 ปี (ตั้งแต่ปี 2552 – 2567) โดยสามารถรับนักเรียนเข้าเรียนได้ 1,520 คน คิดเป็นอัตราการแข่งขัน 1:8.79 แบ่งเป็น 8 แผนการเรียน ได้แก่ แผนการเรียนวิทย์ – คณิต รับ 1,000 คน จำนวนผู้สมัคร 9,644 คน อัตราการแข่งขัน 1:9.6 แผนการเรียนภาษา – คณิต รับ 120 คน จำนวนผู้สมัคร 1,226 คน อัตราการแข่งขัน 1:10.2 แผนการเรียนภาษา – ฝรั่งเศส รับ 80 คน จำนวนผู้สมัคร 422 คน อัตราการแข่งขัน 1:5.2 แผนการเรียนภาษา – เยอรมัน รับ 80 คน จำนวนผู้สมัคร 368 คน อัตราการแข่งขัน 1:4.6 แผนการเรียนภาษา – ญี่ปุ่น รับ 80 คน จำนวนผู้สมัคร 527 คน อัตราการแข่งขัน 1:6.5 แผนการเรียนภาษา – จีน รับ 80 คน จำนวนผู้สมัคร 728 คน อัตราการแข่งขัน 1:9.1 แผนการเรียนภาษา – สเปน รับ 40 คน จำนวนผู้สมัคร 224 คน อัตราการแข่งขัน 1:5.6 และแผนการเรียนภาษา – เกาหลี รับ 40 คน จำนวนผู้สมัคร 222 คน อัตราการแข่งขัน 1:5.5

.

 

สอศ. เปิดเวทีติวเข้ม ITA “ย้ำ” โปร่งใส มีคุณธรรม สร้างความเชื่อมั่น

วันที่ 5 มีนาคม 2568 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มอบหมายให้ นายณรงค์ชัย เจริญรุจิทรัพย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (รองเลขาธิการ กอศ.) เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA)  ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภายใต้โครงการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลในสถานศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมีนายรังสันต์ เทพมนตรี นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ ปฏิบัติหน้าที่รองหัวหน้ากลุ่มงานจริยธรรม นายน้ำมนต์ โฆษะโก ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพนวมินทราชูทิศ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ คณะวิทยากร คณะกรรมการดำเนินงาน จำนวน 70 คน และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วม จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 มีนาคม 2568 ณ ห้องประชุมทรัพย์มณี ชั้น 2 โรงแรมทาวน์ อิน ทาวน์ กรุงเทพมหานคร

นายณรงค์ชัย กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัดขึ้นตามที่รัฐบาลได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ และนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการทุจริต และส่งเสริมคุณธรรมและความโปร่งใสในหน่วยงานภาครัฐ  ซึ่ง สอศ. มุ่งหวังให้บุคลากรมีความรู้ความเข้าใจด้านคุณธรรม จริยธรรม วินัยของข้าราชการ และธรรมาภิบาล และเตรียมความพร้อมสำหรับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ หรือการประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

รองเลขาธิการ กอศ. กล่าวเพิ่มตอนหนึ่งว่า  “สอศ. ยึดมั่นในหลักคุณธรรม ความโปร่งใส ในการทำงานทุกมิติ  และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการส่งเสริมความโปร่งใส เช่น การพัฒนาระบบการเปิดเผยข้อมูลออนไลน์ และการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล  อีกทั้งความก้าวหน้าของบุคลากรจะเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องและเป็นธรรม ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการเสริมสร้างคุณธรรมและความโปร่งใสของ สอศ. และเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าอาชีวศึกษามุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานการทำงานต่อไป

สำหรับการประชุมครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากสำนักงาน ป.ป.ช. : ในการให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดำเนินงานของภาครัฐ (ITA) สำนักงาน ก.พ. : ปฏิบัติการแนวทางการดำเนินการตามประมวลจริยธรรมข้าราชการและการดำรงตนให้อยู่ในวินัยของข้าราชการที่ดี และกลุ่มตรวจสอบภายใน สอศ. : การบรรยาย เรื่อง การป้องกันการเกิดความเสี่ยงการทุจริต และการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบ จัดโดย กลุ่มงานจริยธรรม หน่วยศึกษานิเทศก์ และวิทยาลัยการอาชีพนวมินทราชูทิศ

ด่วน!สกสค.ประกาศคัดเลือกจ้างพิมพ์หนังสือองค์การค้าฯแล้ว-ไร้เงา “รุ่งศิลป์”คู่พิพาท

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)ได้มีหนังสือเชิญชวน 15 สำนักพิมพ์ จ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนองค์การค้าของสกสค.ปีการศึกษา 2568 จำนวน 145 รายการ วงเงินงบประมาณ 1,060 ล้านบาท โดยวิธีการคัดเลือก เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 นั้น

บัดนี้ นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การค้า ของ สกสค.ปฏิบัติการแทน เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)ได้ลงนามประกาศผู้ชนะการเสนอราคาประกวดราคาจ้างพิมพ์หนังสือแบบเรียนขององค์การค้าสกสค.แล้ว โดยมีสำนักพิมพ์เสนอราคาผ่านการคัดเลือก จำนวน 4 สำนักพิมพ์ ดังนี้1.บริษัท วรรณชาติเพรส(2020)จำกัด ได้พิมพ์หนังสือเรียนองค์การค้าฯ จำนวน 42 รายการ 2.บริษัท อุดมศึกษา จำกัด จำนวน 41 รายการ 3.บริษัท ไชเบอร์พริ้นท์กรุ๊ป จำกัด จำนวน 41 รายการ และ 4.ห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักพิมพ์ฟิสิกส์เซ็นเตอร์ จำนวน 21 รายการ รวม 145 ราย ส่วนบริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์(1977)จำกัด ซึ่งเป็นคู่พิพาท ไม่ได้รับการคัดเลือก

“เสมา1” เล็งใช้กฎเหล็ก ห้าม ครู-ผู้บริหาร ดูดบุหรี่ไฟฟ้า หรือนำมาครอบครอง  ถือโทษความผิดทางวินัย

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังประชุมประสานภารกิจร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของศธ. ว่า ที่ประชุมได้รายงานผลการจัดทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต ปีการศึกษา 2567 จัดโดย สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)ซึ่งประถมศึกษาปีที่ 6 มีผู้เข้าสอบทั้งหมด 692,696 คน มัธยมศึกษาปีที่ 3 เข้าสอบทั้งหมด 508,839 คน และ มัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้าสอบทั้งหมด 218,180 คน ซึ่งในการทดสอบได้มีการสำรวจความคิดเห็นของนักเรียนชั้น ม.3 และ ม.6 ถึงเหตุผลที่เข้ารับการทดสอบ โอเน็ต พบว่า เพื่อวัดความรู้ความสามารถของตนเอง ร้อยละ 78.66 สอบตามที่สถานศึกษาแจ้ง ร้อยละ 43.71 และเพื่อใช้ผลการศึกษาต่อ ร้อยละ 38.50 นักเรียนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจด้านระบบดิจิทัลและอุปกรณ์ที่ใช้สอบ ด้านบริหารจัดการทดสอบ ในหัวข้อสถานที่สอบ ห้องสอบสะอาด วันและเวลาทดสอบที่มีความเหมาะสม และได้มีข้อเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัญญาณอินเตอร์เน็ต ที่ไม่เสถียรในบางพื้นที่ นอกจากนี้ ยังได้หารือในส่วนของการขับเคลื่อนติดตามเด็กออกนอกระบบการศึกษา  โดยทุกหน่วยงานในสังกัดของ ศธ.สามารถนำเด็กกลับเข้าสู่ระบบได้มากถึง 321,640 คน ซึ่งถือว่าเป็นที่น่าพึงพอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งตนได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปติดตามดูแลเด็กทุกคนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นแนวทางป้องกัน ติดตาม และส่งต่อ เพื่อไม่ให้เกิดการหลุดออกนอกระบบอีกครั้ง

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.)ได้รายงานความคืบหน้าการติดตามเด็กกลับเข้าสู่ระบบของแต่ละจังหวัด ซึ่งในตอนนี้มี 29 จังหวัดที่ยังไม่สามารถติดตามเด็กได้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ จึงได้มอบหมายให้ ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดศธ. ไปดำเนินการขับเคลื่อน โดยมี 12 จังหวัดที่อยู่ในโครงการนำร่องของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่ไม่สามารถติดตามเด็กได้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์จึงต้องมีการหารือเพื่อตรวจสอบว่าปัจจัยไหนที่ทำให้ไม่สามารถติดตามได้ครบ

นอกจากนี้ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ยังได้กล่าวถึง การแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าตามข้อสั่งการของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการแก้ปัญหาดังกล่าวในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยมอบหมายให้ศธ. เป็นเจ้าภาพหลักบูรณการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมได้แต่งตั้ง นายพิษณุ พลธี ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการศธ. ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการศธ. ให้เป็นประธานคณะทำงานแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าของศธ. ทั้งนี้คณะทำงานชุดดังกล่าวที่ตั้งขึ้นจะกลับไปจัดทำแผนการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยเริ่มตั้งแต่แผนการแก้ปัญหาระยะสั้น กลาง และยาว เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนนโยบายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น อีกทั้งจะมีการเชื่อมการทำงานไปยังหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกันโดยขณะนี้ ศธ.รอการปรับแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้องจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เนื่องจากมีช่องทางที่สามารถแก้ไขระเบียบข้อบังคับตามประกาศ เรื่อง การกำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.2557 ซึ่งสามารถมอบอำนาจแก่ผู้อำนวยการสถานศึกษา หรือครูฝ่ายปกครองที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการสถานศึกษา ให้สามารถทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงาน ตรวจยึดบุหรี่ไฟฟ้าตามข้อกฎหมายของกระทรวงพาณิชย์ ภายในขอบเขตของสถานศึกษาได้  โดยจะออกหนังสือราชการเพื่อกำชับไปยังครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงผู้บริหารในศธ.ทุกคนว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นของผิดกฎหมาย หากตรวจพบหรือมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้า จะไม่ปล่อยผ่านไปอย่างแน่นอน และจะถือโทษความผิดทางวินัยแก่บุคคลเหล่านั้นด้วย เพราะครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือแม้กระทั่งผู้บริหารจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กนักเรียน ไม่ดูดบุหรี่ไฟฟ้าเอง

มทร.กรุงเทพ เปิดรับ ป.ตรี ภาคปกติ ปี 68 รวม 3,280 คน ชวนสมัครรอบ TCAS2 และ รับตรง 2 ผ่านออนไลน์ ถึง วันที่ 14 มี.ค.นี้

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.)กรุงเทพ เปิดเผยว่า ขณะนี้ มทร.กรุงเทพ กำลังเปิดรับสมัครนักศึกษาระดับปริญญาตรี ประจำปีการศึกษา 2568 รอบTCAS2 และประเภทรับตรง2 (วุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.)/ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) ใน 7 คณะ และ 1 วิทยาลัยนานาชาติ ได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะศิลปศาสตร์ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ คณะอุตสาหกรรมสิ่งทอ และวิทยาลัยนานาชาติ โดยรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2568 ผู้สนใจสมัครออนไลน์ที่ https://admission.rmutk.ac.th/ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน โทร. 0-2287- 9600 ต่อ 3230 หรือ 0-2287 -9625

รศ.ดร.พิชัย กล่าวต่อไปว่า ส่วนแผนการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ประจำปีการศึกษา 2568 ระดับปริญญาตรี หลักสูตร 4 ปี ภาคปกติ ของมทร.กรุงเทพใน 7 คณะ รวมจำนวนรับทั้งสิ้น 3,280 คน โดยคณะศิลปศาสตร์ รับ 500 คน แยกเป็น สาขาการท่องเที่ยว 80 คน สาขาการโรงแรม 120 คน สาขาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสากล 120 คน สาขาภาษาญี่ปุ่น 90 คน สาขาภาษาจีนเพื่อการสื่อสาร 60 คน และสาขาการออกแบบนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาไทย 30 คน คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รับ 470 คน สาขาเคมี 30 คน สาขาออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม 30 คน สาขาเทคโนโลยีการถ่ายภาพและภาพยนตร์ 80 คน สาขาเทคโนโลยีการพิมพ์ดิจิทัลและออกแบบบรรจุภัณฑ์ 40 คน สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ / สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ 90 คน สาขาเทคโนโลยีเครื่องเรือนและการออกแบบ 30 คน สาขาเทคโนโลยีและการจัดการความปลอดภัยของอาหาร 30 คน สาขาเทคโนโลยีสื่อดิจิทัลและสื่อสารมวลชน 40 คน สาขาวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพและความงาม 40 คน สาขาเทคโนโลยีชีวภาพเพื่ออุตสาหกรรมเกษตรและสิ่งแวดล้อม 30 คน และสาขาเทคโนโลยีพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม 30 คน

คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม รับ 135 คน สาขาเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ 30 คน สาขาวิศวกรรมเครื่องกล 30 คน สาขาเทคโนโลยีวิศวกรรมอุตสาหการสมัยใหม่ วิชาเอกวิศวกรรมการผลิต 15 คน สาขาเทคโนโลยีวิศวกรรมอุตสาหการสมัยใหม่ วิชาเอกวิศวกรรมการผลิต(โดยวิธีการเทียบโอนผลการเรียน)10 คน สาขาเทคโนโลยีวิศวกรรมอุตสาหการสมัยใหม่ วิชาเอกเทคโนโลยีโลหการและนวัตกรรมวัสดุ 15 คน สาขาเทคโนโลยีวิศวกรรมอุตสาหการสมัยใหม่ วิชาเอกเทคโนโลยีโลหการและนวัตกรรมวัสดุ (โดยวิธีการเทียบโอนผลการเรียน) 10 คน สาขาเทคโนโลยีวิศวกรรมอุตสาหการสมัยใหม่ วิชาเอกวิศวกรรมเครื่องกลและพลังงาน 15 คน และสาขาเทคโนโลยีวิศวกรรมอุตสาหการสมัยใหม่ วิชาเอกวิศวกรรมเครื่องกลและพลังงาน (โดยวิธีการเทียบโอนผลการเรียน)10 คน

คณะวิศวกรรมศาสตร์ รับ 855 คน สาขาวิศวกรรมโยธา 80 คน สาขาวิศวกรรมโยธา(โดยวิธีการเทียบโอนผลการเรียน 80 คน สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า 60 คน สาขาวิศวกรรมเครื่องกล 80 คน สาขาวิศวกรรมเครื่องกล (โดยวิธีการเทียบโอนผลการเรียน) 30 คน สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ วิชาเอกวิศวกรรมอุตสาหการ 70 คน สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ วิชาเอกวิศวกรรมอุตสาหการ (โดยวิธีการเทียบโอนผลการเรียน) 40 คน สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ วิชาเอกวิศวกรรมการผลิตความแม่นยำสูง 35 คน สาขาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม 40 คน สาขาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม (โดยวิธีการเทียบโอนผลการเรียน) 40 คน สาขาวิศวกรรมเคมี 40 คน สาขาวิศวกรรมสำรวจ 40 คน สาขาวิศวกรรมซ่อมบำรุงอากาศยาน 40 คน สาขาวิศวกรรมซ่อมบำรุงอากาศยาน (โดยวิธีการเทียบโอนผลการเรียน) 40 คน สาขาวิศวกรรมอัตโนมัติและหุ่นยนต์ 30 คน สาขาวิศวกรรมอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (โดยวิธีการเทียบโอนผลการเรียน) 30 คน และสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และระบบไอโอที 80 คน

คณะบริหารธุรกิจ รับ 875 คน สาขาการตลาด กลุ่มวิชาการบริหารการตลาด 120 คน สาขาการตลาด กลุ่มวิชาการบริหารการตลาด (โดยวิธีการเทียบโอนผลการเรียน)40 คน สาขาการตลาด กลุ่มวิชาการตลาดระหว่างประเทศและโลจิสติกส์ 80 คน สาขาการจัดการธุรกิจสมัยใหม่ กลุ่มวิชาการจัดการทั่วไป 90 คน สาขาการจัดการธุรกิจสมัยใหม่ กลุ่มวิชาการจัดการทั่วไป (โดยวิธีการเทียบโอนผลการเรียน) 30 คน สาขาการจัดการธุรกิจสมัยใหม่ กลุ่มวิชาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ 30 คน สาขาการบัญชี 80 คน สาขาการบัญชี (โดยวิธีการเทียบโอนผลการเรียน)40 คน สาขานวัตกรรมระบบสารสนเทศ 35 คน สาขานวัตกรรมระบบสารสนเทศ (โดยวิธีการเทียบโอนผลการเรียน)30 คน สาขาการเงินและนวัตกรรมทางการเงิน 80 คน สาขาการสื่อสารธุรกิจระหว่างประเทศ 30 คน สาขาการประเมินราคาทรัพย์สิน 40 คน สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและธุรกิจดิจิทัล 80 คน สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและธุรกิจดิจิทัล(โดยวิธีการเทียบโอนผลการเรียน)40 คน และสาขาดิจิทัลสตาร์ตอัป 30 คน

คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ รับ 345 คน สาขาอาหารและโภชนาการ 120 คน สาขาอาหารและโภชนาการ (โดยวิธีการเทียบโอนผลการเรียน)60 คน สาขาเทคโนโลยีเสื้อผ้าและแพตเทิร์น 25 คน สาขาการออกแบบแฟชั่น 30 คน สาขาธุรกิจอาหาร 80 คน และสาขาอาหารและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 30 คน และคณะอุตสาหกรรมสิ่งทอ รับ 100 คน สาขาเทคโนโลยีสิ่งทอ 30 คน สาขาออกแบบสิ่งทอและแฟชั่น 40 คน และสาขาผู้ประกอบการธุรกิจแฟชั่น 30 คน.

วิศวะ มทร.กรุงเทพ จับมือกรมที่ดิน พัฒนาหลักสูตรปั๊มช่างสำรวจรังวัด เตรียมเปิดอนุปริญญา วิศวกรรมสำรวจปีแรก รับเด็ก ม.6 และ ปวช. เรียน 2 ปี สมัครสอบนายช่างรังวัด นายช่างสำรวจได้เลย

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 รศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.)กรุงเทพ เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดแรงมีความขาดแคลนแรงงานระดับปฎิบัติการในวิชาชีพช่างรังวัดและช่างสำรวจจำนวนมาก  ทางคณะวิศวกรรมศาสตร์ มทร.กรุงเทพ จึงได้ร่วมมือกับกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทยพัฒนาหลักสูตรการศึกษาระดับอนุปริญญา สาขาวิชาวิศวกรรมสำรวจ  เพื่อรองรับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็นกรมที่ดิน  สำนักงานปฎิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม หรือกรมชลประทานเป็นต้น  โดยในปีการศึกษา 2568 จะเป็นปีแรกที่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มทร.กรุงเทพเปิดรับนักศึกษาหลักสูตรอนุปริญญา สาขาวิชาวิศวกรรมสำรวจ ซึ่งเรามั่นใจหลักสูตรดังกล่าวมีจุดแข็งทั้งด้านหลักสูตร เพราะเรามีการจัดการเรียนการสอนทางด้านช่างสำรวจและวิศวกรรมสำรวจมามากกว่า 69 ปีทำให้มีความเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนการสอน รวมถึงมีการบริหารหลักสูตรอย่างเป็นระบบผู้สำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญาสามารถศึกษาต่อในหลักสูตรปริญญาตรี สาขาวิชาวิศวกรรมสำรวจ (ต่อเนื่อง) ระยะเวลา 2 ปี ได้ทันที

รศ.ดร.พิชัย  กล่าวต่อไปว่า  สำหรับอาจารย์ผู้สอนในหลักสูตรนี้ มทร.กรุงเทพ มีความมั่นใจว่า ทุกคนมีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิชาชีพวิศวกรรมสำรวจเป็นอย่างดี ที่สำคัญมหาวิทยาลัยมีพื้นที่กว้าง เหมาะสมในการฝึกปฏิบัติ เครื่องมือที่ใช้ในการเรียนการสอนมีคุณภาพ ทันสมัยและเพียงพอต่อจำนวนนักศึกษา ดังนั้นผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรนี้จะมีคุณสมบัติที่สามารถสอบบรรจุเข้ารับราชการ สายงานปฏิบัติงานช่างรังวัด ปฏิบัติงานช่างสำรวจ กลุ่มอาชีพวิศวกรรม สถาปัตยกรรม และช่างเทคนิคต่างๆ ได้แน่นอน ทั้งนี้ทางมหาวิทยาลัยขอเชิญชวนเด็กๆที่สนใจเรียนทางด้านช่างสำรวจหรือวิศวกรรมสำรวจมาเรียนที่ มทร. กรุงเทพ เพราะเรียนที่นี่ที่เดียวได้ถึง 2 วุฒิ  เรียนจบ 2 ปีแรกสามารถสมัครสอบเป็นช่างรังวัดกรมที่ดินได้เลย หากต้องการเพิ่มวุฒิอีก 2 ปีกลับมาเรียนเสาร์อาทิตย์ ก็ได้ จบได้ปริญญาตรีวิศวกรรมสำรวจ

ด้าน รศ.ดร.จิระพล กลิ่นบุญ  คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มทร.กรุงเทพ กล่าวว่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ มีแผนรับเด็กเข้าเรียนระดับอนุปริญญา สาขาวิชาวิศวกรรมสำรวจ จำนวน 40 คน โดยเปิดรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) ในสาขาวิชาช่างสำรวจ ช่างก่อสร้าง ช่างเทคนิคสถาปัตยกรรม หรือเทียบเท่าหรือสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (.6) มีจำนวนหน่วยกิตของกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรวมกันไม่น้อยกว่า 20 หน่วยกิต สนใจสมัครเรียนติดตามรายละเอียดการรับสมัครได้ที่www.rmutk.ac.th หรือสอบถามข้อมูลที่ โทร.0-2287- 9600

80 ปี “คุรุสภา”มุ่งยกระดับวิชาชีพสร้างครูคุณภาพ

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2568 สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา จัดงานวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ครบรอบ 80 ปี โดยมี พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.)​ เป็นประธานในพิธี บวงสรวงองค์พระพฤหัสบดี พระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6​ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ฯพณฯ ทวี บุณยเกตุ ผู้ก่อตั้งคุรุสภา​ และมอบรางวัลผู้มีคุณูปการต่อสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา จำนวน 30 คน รางวัล“คนดี ศรีคุรุสภา” จำนวน 8 รางวัล และรางวัลผู้บริหารภารกิจ ส่วนภูมิภาคดีเด่น จำนวน 12 รางวัล เพื่อเป็นการยกย่องแก่ผู้สนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงาน รวมทั้งเป็นกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานโดยมี ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา พร้อมด้วยคณะกรรมการคุรุสภา คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ ผู้บริหารระดับสูงของ ศธ.ร่วมงาน ณ ห้องประชุมบุณยเกตุ อาคารหอประชุมคุรุสภา

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวว่า จากการที่สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้การดำเนินการตามบทบาท ภารกิจที่สำคัญต่อวิชาชีพครู ซึ่งเป็นวิชาชีพชั้นสูง และการร่วมใจกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมมือดำเนินงาน โดยเฉพาะในเรื่องการกำกับดูแลการประพฤติและการปฏิบัติตนตามมาตรฐานและจรรยาบรรณวิชาชีพ การพัฒนาและยกย่องผดุงเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ถือว่าดำเนินการได้ดี สามารถสะท้อนนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ผู้เรียนมีคุณภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม เก่งในด้านทักษะการใช้ชีวิต “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” คิดแบบมีเหตุผล และทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อการศึกษาของเราก็จะดีขึ้นและมาตรฐานการศึกษาของเราจะก้าวไปด้วยกัน รมว.ศธ.ในฐานะประธานกรรมการคุรุสภา ขอให้มีการทำงานเชิงรุกในการรณรงค์ ปลูกฝัง ย้ำเตือนครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องมีความประพฤติดี กิริยา วาจาสุภาพ สร้างชื่อเสียง สร้างความศรัทธาแก่นักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครอง มีภาพพจน์ที่ดีปรากฎสู่สังคม

ด้าน ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งคุรุสภา เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2488 ถึงปัจจุบัน การดำเนินงานของคุรุสภาเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาวิชาชีพครูอย่างต่อเนื่องไม่เพียงแต่เป็นองค์กรสภาวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษาที่กำหนดมาตรฐานและควบคุมวิชาชีพครูเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยสร้างครูที่มีคุณภาพ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการศึกษาของชาติไปสู่อนาคตที่ดียิ่งขึ้น โดยได้มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนนโยบายให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษาและสังคมไทยมีการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพครู การพัฒนาแนวทางการประเมินคุณภาพครู ไปจนถึงการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับครู ปรับตัวเป็นองค์กร องค์ความรู้ที่ทันสมัย มีความรวดเร็วในการดำเนินงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการพัฒนาครูมากขึ้นในทุกด้าน

เลขาธิการคุรุสภา กล่าวด้วยว่า สำหรับก้าวต่อไปในปีที่ 81 ของคุรุสภาและวิชาชีพครู จะมุ่งเน้นการสร้างครูที่เป็นผู้นำทางการศึกษามีความสามารถทางวิชาการและจริยธรรมสูง พร้อมทั้งสามารถปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มของโลกการศึกษายุคใหม่ เพื่อช่วยกันสร้างคนไทยที่มีศักยภาพสอดคล้องกับนโยบาย เรียนดี  มีความสุข และทำให้เด็กไทย คนไทย ฉลาดรู้ ฉลาดคิด และฉลาดทำ ซึ่งจะเป็นแนวทางในการดำเนินงาน และยกระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของทุกภาคส่วน ในการพัฒนาวิชาชีพทางการศึกษา ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพทุกท่าน อันจะส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน สังคม และประเทศชาติ พร้อมกันนี้สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา จะยืนหยัดสืบทอดประวัติศาสตร์และเจตนารมณ์ของการจัดตั้งคุรุสภาให้เป็นสภาวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา ดำเนินการด้านการพัฒนามาตรฐาน และจรรยาบรรณของวิชาชีพทางการศึกษา เพื่อยกระดับวิชาชีพให้สืบเนื่องต่อไป.