ไปได้สวย!กมธ.วิสามัญวุฒิสภาผ่านร่าง พรบ.อุดมศึกษา4ฉบับรวด

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ดร. กมล รอดคล้าย ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการอุดมศึกษาฉบับที่…พ.ศ….วุฒิสภา เปิดเผยว่า ในการประชุมประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญครั้งที่ 6 / 2567 เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา  เป็นการประชุมที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมใหญ่วุฒิสภา โดยการประชุมครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากได้มีการประชุมมาแล้ว 5 ครั้ง โดยการประชุมได้พิจารณาร่างพรบ.อย่างละเอียดเป็นรายมาตรา และเปิดโอกาสให้สมาชิกวุฒิสภา ได้มีส่วนร่วมเเปรญัตติ สำหรับครั้งนี้ได้มีการพิจารณา ทบทวนร่างพรบ.การอุดมศึกษาฉบับที่…พศ…และร่าง พรบ.ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสิ้น 4 ฉบับ และได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการวิสามัญเรียบร้อยแล้ว พร้อมกันนี้ได้มีการตรวจสอบรายงานของกรรมาธิการเพื่อนำเสนอวุฒิสภาบรรจุเป็นวาระเข้าที่ประชุมใหญ่พิจารณาต่อไป ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นการประชุมครั้งเเรกๆในสมัยประชุมสภาเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้

ดร.กมล กล่าวต่อไปว่า สำหรับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ถือเป็นร่างที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะได้ปรับปรุงและจัดทำขึ้นเพื่อให้สอดรับกับการจัดตั้ง“กองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา ” ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่จัดสรรเงินกองทุน และกำกับติดตามให้เกิดการพัฒนาความเป็นเลิศของสถาบันอุดมศึกษา และการส่งเสริมการผลิตกำลังคนระดับสูงเฉพาะทางได้บรรลุวัตถุประสงค์ตามความต้องการของประเทศ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันซึ่งถือเป็นการพลิกโฉมการทำงานของการอุดมศึกษาให้มีบทบาทในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง โดยพรบ.ทั้ง 4 ฉบับดังกล่าวได้กำหนดประเด็นที่ว่าด้วยเรื่องของ การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุน การจัดทำคำรับรองการปฎิบัติงาน การตรวจสอบและกำกับติดตาม รวมทั้งความเชื่อมโยงกับสภานโยบายการอุดมศึกษาฯ ซึ่งจะส่งผลให้การทำงานสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ มีความเป็นอิสระและคล่องตัว สามารถปรับภารกิจให้สอดรับกับภาคเอกชนได้เป็นอย่างดี

“คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ ทำงานด้วยความเเข็งขันและรวดเร็ว รอบคอบ สำเร็จได้ด้วยดี เพราะมีองค์ประกอบที่สำคัญครบถ้วนคือวุฒิสมาชิกเเละผู้ทรงคุณวุฒิ รวม 21 ท่าน และ ผู้ที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้เข้าร่วมชี้เเจง ได้แก่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งหากได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ของวุฒิสภา ก็ถือได้ว่าเป็นของขวัญปีใหม่ที่สภา และรัฐบาลจะมอบให้เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนต่อไป”ดร.กมล กล่าว

“คุรุสภา” เร่งออกข้อบังคับมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย

ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา กำลังดำเนินการจัดทำร่างข้อบังคับคุรุสภาว่า ด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. ….. และอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับ (ร่าง) ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. …. โดยมีหลักการเพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพครูในระดับปฐมวัย มีสมรรถนะทางวิชาชีพที่ทันสมัย และสอดคล้องกับบริบทความเปลี่ยนแปลงของการจัดการศึกษาในยุคปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพครูในระดับปฐมวัย ส่วนสาระสำคัญของร่างมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย ประกอบด้วย 1) มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ 2) มาตรฐานการปฏิบัติงาน และ 3) มาตรฐานการปฏิบัติตน การกำหนดมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพนั้นกำหนด ผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัย ต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษา หรือเทียบเท่า หรือมีคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง ขณะเดียวกันมาตรฐานความรู้ครูปฐมวัย กำหนดต้องมีความรอบรู้และเข้าใจในเรื่องต่างๆ เช่น ธรรมชาติการเรียนรู้ของสมองเด็ก การเจริญเติบโต พัฒนาการด้านตัวตนและพัฒนาการแบบองค์รวมของเด็กตามช่วงวัย การสร้างสัมพันธภาพต่อเด็กและการเลี้ยงดู พัฒนาและการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม ความรู้ด้านศาสตร์การสอนสำหรับเด็กปฐมวัย การออกแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการที่เหมาะสมกับพัฒนาการ การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม การพัฒนาหลักสูตรสอดคล้องกับบริบทของครอบครัว ชุมชน และสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ตอบสนองต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การประเมินเพื่อวางแผน ส่งเสริม พัฒนาการและการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวัย และความแตกต่างของเด็กรายบุคคล สุขภาพกายและใจ โภชนาการที่ดี การดูแลความปลอดภัยจากสภาพแวดล้อม สังคม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย และ ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศรอบตัวที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ครอบคลุมทั้งครอบครัว โรงเรียนหน่วยงานสาธารณสุข ชุมชน สื่อ เทคโนโลยี ศิลปวัฒนธรรม และกฎหมาย ที่ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และการพัฒนาเด็กปฐมวัย

ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าวต่อไปว่า ส่วนมาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพนั้นกำหนดว่าผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัย ต้องผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยตามหลักสูตรปริญญาทางการศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี และผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด ดังนี้ การฝึกประสบการณ์วิชาชีพระหว่างเรียน การปฏิบัติการสอนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพ ทั้งนี้สาระความรู้ และสมรรถนะของผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัยตามมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด นอกจากนี้มาตรฐานการปฏิบัติงานนั้นยังกำหนดว่าผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัยต้องปฏิบัติหน้าที่ครูด้วยการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ด้านความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย จิตวิญญาณและคุณลักษณะที่ดีของความเป็นครูปฐมวัย สร้างสัมพันธภาพที่ดี รัก เมตตา และเอื้ออาทรต่อเด็ก ปฏิบัติต่อเด็กอย่างให้เกียรติ ไม่เลือกปฏิบัติ ทำงานเป็นทีม ร่วมมือกับครู เครือข่าย และบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกสถานศึกษา รวมถึงคุ้มครองสิทธิของเด็กทุกคนให้อยู่รอดปลอดภัย ได้รับการดูแล พัฒนา ปกป้องคุ้มครอง และให้เด็กมีส่วนร่วมในการแสดงออก ใส่ใจต่อเด็กที่ตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่างๆ ตลอดจนส่งเสริมสุขนิสัยที่ดี และดูแลความปลอดภัยทางสภาพแวดล้อม สังคม และเทคโนโลยีที่มีผลต่อพัฒนาการของเด็ก โดยทำงานร่วมกับผู้ปกครอง และ หรือสหวิชาชีพ และรู้เท่าทันและสามารถใช้สื่อดิจิทัล เทคโนโลยีทางการศึกษา ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดผลดีต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก มีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์โดยบูรณาการการเรียนรู้ผ่านการเล่นและทำกิจกรรมที่หลากหลายสอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยของเด็กและความต้องการพิเศษ เพื่อให้เด็กมีสมรรถนะพื้นฐานในการเรียนรู้และการดำรงชีวิตต่อไปในอนาคตมีความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและชุมชน และสุดท้ายมาตรฐานการปฏิบัติตนที่ผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัยต้องมีมาตรฐานการปฏิบัติตนตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ

“ขณะนี้คุรุสภาได้เปิดให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตครู หน่วยงานผู้ใช้ครูผู้ประกอบวิชาชีพครู รวมถึงผู้ปกครองนักเรียน นิสิต/นักศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบและร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่าง ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ… ผ่านระบบออนไลน์ของสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ขอเชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างดังกล่าว เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องผ่านทาง Google Form ที่ https://forms.gle/KbCntnJ9ffgtFYSF8 ถึงวันที่30 พฤศจิกายน 2567” ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าวว่าและว่าหลังจากที่สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาจัดทำร่างข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. …เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะต้องทำรายละเอียดของมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพครูตามข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2562 ให้แล้วเสร็จก่อนที่จะนำเสนอคณะกรรมการคุรุสภาเพื่อพิจารณาต่อไป อย่างไรก็ตามนอกจากคุรุสภาได้ปรับปรุงมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย แล้วยังได้มีการพัฒนาเรื่องมาตรฐานวิชาชีพสาขาอื่นๆ ด้วย เช่น ร่างข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูการศึกษาพิเศษ พ.ศ. …. เป็นต้น เพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันด้วย

สพฐ.เปิดพื้นที่โรงเรียน ช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคใต้

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 จากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ในขณะนี้ ซึ่งส่งผลให้เกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ) มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ข้าราชการครู บุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนนักเรียนและผู้ปกครอง ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยดังกล่าว รมว.ศึกษาธิการ จึงได้สั่งการให้ตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ อย่างเร่งด่วน โดย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้แจ้งไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อแจ้งไปยังโรงเรียนในเขตพื้นที่ภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบและใกล้เคียง ให้เปิดพื้นที่ในโรงเรียนที่สามารถใช้อาคารและสถานที่ภายในบริเวณโรงเรียนเพื่อเป็นศูนย์พักพิงและช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ และประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นในพื้นที่เพื่อดูแลประชาชน พร้อมจัดข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีจิตอาสา ช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมกันนี้ ได้มีการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัยในครั้งนี้ด้วย
.
ทั้งนี้ หากต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อโดยตรงได้ที่
ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. โทร.089-569-2959
นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. โทร. 081-780-2897
นายสราวุธ เดชมณีรัตน์ ผอ.สำนักพัฒนาการศึกษาเขตพัฒนาเฉพาะกิจชายแดนภาคใต้ โทร.094-919-0111

ศธ.ลงพื้นที่ติดตามการฟื้นฟูโรงเรียนถูกน้ำท่วมและโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ย้ำเครือข่ายความร่วมมือสำคัญจริง

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) และ นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการ กพฐ. รวมถึงผู้บริหารการศึกษา ลงพื้นที่โรงเรียนกาวิละวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ เพื่อติดตามการฟื้นฟูโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย และได้รับความเสียหายอย่างหนักเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

พลตำรวจเอก เพิ่มพูน กล่าวว่า โรงเรียนกาวิละวิทยาลัย เป็นโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยอย่างมาก สื่อการเรียนการสอนได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด วันนี้จึงได้มาตรวจเยี่ยมความคืบหน้าในการฟื้นฟูโรงเรียน ซึ่งต้องขอบคุณอาชีวศึกษาจังหวัดเชียงใหม่ที่ได้เข้ามาช่วยเหลือในเรื่องการซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โดยสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นคือเครือข่ายความร่วมมือและการช่วยเหลือกัน ระหว่างโรงเรียนพี่ช่วยโรงเรียนน้อง โรงเรียนเพื่อนช่วยโรงเรียนเพื่อน ในส่วนของผู้บริหารโรงเรียนก็ได้มีการขอความร่วมมือไปยังศิษย์เก่าและผู้มีจิตศรัทธาต่างๆ เข้ามาให้ความช่วยเหลือ  วันนี้ได้นำเรียนให้นายกรัฐมนตรีทราบถึงเรื่องผลการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนที่ประสบภัยน้ำท่วม และโรงเรียนรัฐที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว อีก 3 โรงเรียน ซึ่งมีโรงเรียนเอกชนเข้ามาเป็นเครือข่ายให้ความช่วยเหลือ โดยนายกฯรับทราบและให้แจ้งงบประมาณที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อจัดทำเรื่องการของบกลาง เพราะเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็ว ในส่วนของงบประมาณฟื้นฟูน้ำท่วมก็ต้องมาตรวจสอบว่ามีอะไรซ้ำซ้อนหรือไม่ หากไม่มีก็จะดำเนินการเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ส่วนงบฯที่จะนำมาช่วยเหลือโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวก็จะนำมาสร้างอาคารที่ชำรุดต่อไป

“ส่วนการจัดการเรียนการสอนในเชียงใหม่นั้น ถือว่าเข้าสู่สภาพปกติและมีการขับเคลื่อนในมิติของเครือข่ายทางการศึกษา มีการทำงานร่วมกันระหว่างโรงเรียนรัฐกับโรงเรียนเอกชน ทั้งด้านนวัตกรรมการศึกษา ด้านวิชาการ และทรัพยากรต่างๆ ถือว่าเชียงใหม่มีความพร้อมในการจัดการศึกษาเป็นอย่างดี และผู้ว่าราชการจังหวัดก็ได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นในเรื่องของ Thailand Zero Dropout ก็ได้มีการเน้นย้ำอย่างเข้มข้นในเรื่องการติดตามค้นหาเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา โดยเฉพาะที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ยังไม่พบอีกประมาณ 30% ตอนนี้กำลังตรวจสอบว่าเด็กอยู่ที่ไหน และจะติดตามต่อไป เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างถ้วนหน้าทุกคน” รมว.ศธ. กล่าว

“กระสังพิทยาคม” จุดประกายรักษ์สิ่งแวดล้อม จัดกิจกรรมเรียนรู้นอกห้องเรียน สืบสานประเพณี ลงแขกเกี่ยวข้าว

โรงเรียนกระสังพิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)บุรีรัมย์ จัดโครงการอนุรักษ์สืบสานประเพณี ลงแขกเกี่ยวข้าวพี่น้องเราชาวกระสังพิทย์ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ โดย นายไพบูลย์ มั่นยืน ผู้อำนวยการโรงเรียนกระสังพิทยาคม พร้อมด้วยผู้บริหาร คณะครู บุคลากร ศึกษานิเทศก์ สพม.บุรีรัมย์ และนักเรียนร่วมสืบสานประเพณี รู้คุณบรรพบุรุษ วัฒนธรรมอันดีงามของไทย ลงมือปฏิบัติในสถานการณ์จริง และสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้

นายไพบูลย์  กล่าวว่า โรงเรียนมีแนวนโยบายวิสัยทัศน์ในการพัฒนาผู้เรียนไปทุกด้านนอกเหนือจากด้านวิชาการแล้ว สิ่งที่จำเป็น มุ่งเน้นที่จะปลูกฝังผู้เรียนในเรื่องคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เรื่องทักษะชีวิต กิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องของสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบันที่ทั่วโลกต้องปลูกฝังให้นักเรียนรู้จักรักษาสิ่งแวดล้อมให้อยู่คู่กับโลกต่อไป โดยโรงเรียนกระสังพิทยาคม ได้เข้าร่วมโครงการ ECHO SCHOOL โดยผ่านการเป็น ECHO  SCHOOL ระดับต้น มีกิจกรรมที่ส่งเสริมตามแนวทางหลักของ ECHO SCHOOL อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน กิจกรรมต่าง ๆ การต่อยอดในความยั่งยืนเกี่ยวกับโรงเรียนในเรื่องสิ่งแวดล้อมศึกษา

ปี 2567 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ได้กำหนดวิสัยทัศน์  “สพม.บุรีรัมย์ พื้นที่คุณภาพ สิ่งแวดล้อมดี สร้างคนดี มีความสุข” ซึ่งโรงเรียนก็ได้นำวิสัยทัศน์ มาดำเนินการ โดยเฉพาะเรื่องของสิ่งแวดล้อมดี ซึ่งก็เข้ากับโครงการ ECHO SCHOOL ที่ประกอบไปด้วย อาคารสถานที่ดี บุคลากรดี หลักสูตรที่ดี ด้านอาคารสถานที่ดี โดยโรงเรียนได้ปรับปรุง ให้เอื้อต่อการเรียนรู้ ดูแลรักษาสิ่ง่แวดล้อม พร้อมกับการอนุรักษ์พลังงาน

สำหรับกิจกรรมที่สำคัญและปลูกฝังให้นักเรียนได้เรียนรู้อาชีพของท้องถิ่น ควบคู่ไปกับดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม คือ กิจกรรมเกี่ยวกับการเกษตร การเลี้ยงไก่ 3 สายเลือด โดยเฉพาะการทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ ทางโรงเรียนได้เริ่มต้นกิจกรรมการลงแขกดำนา สืบสานประเพณีท้องถิ่น โดยวันนี้เป็นการลงแขกเกี่ยวข้าว โครงการอนุรักษ์สืบสานประเพณี ลงแขกเกี่ยวข้าว พี่ น้อง เราชาวกระสังพิทย์ เป็นกิจกรรมที่ทำต่อเนื่องการมา เป็นลักษณะแปลงสาธิตให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ เรื่องของการทำอาชีพการเกษตร ที่เป็นของท้องถิ่นอำเภอกระสัง การทำนาแปลงสาธิต ที่ใช้ “พันธ์ข้าวเหนียวเปลือกมังคุด” ที่ไม่ได้ใช้สารเคมี  นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติได้เรียนรู้ ได้ข้อมูล ได้วิเคราะห์ นำไปใช้ในท้องถิ่นของตัวเอง ที่มุงให้เรียนรู้ ในเรื่องของสิ่งแวดล้อม

 

มรภ.ธนบุรี จับมือ พว.จัดประกวดBest Practiceด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบGPAS 5 Steps เพื่อรองรับการประกันคุณภาพนอกของสถานศึกษา

เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ระหว่าง คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี กับ สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) เพื่อยกระดับคุณภาพทางการศึกษาของประเทศไทยอย่างยั่งยืน โดย ผศ.ดร.ยุวลักษณ์ เวชวิทยาขลัง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี กล่าวว่า เป็นความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน เทคโนโลยี  นวัตกรรมการเรียนการสอน  รวมถึงองค์ความรู้ งานวิจัยที่จะนำมาใช้ในการพัฒนานักเรียนให้มีองค์ความรู้ที่จะนำไปต่อยอดได้  โดย มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรีมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ตั้งแต่ระดับปฐมวัย ระดับมัธยมศึกษา ถึงระดับ อุดมศึกษา มีการผลิตครูเพื่อเป็นครูระดับต่าง ๆ รวมถึงทำงานด้านวิชาการ งานวิจัย การพัฒนาบุคลากรในการสร้างองค์ความรู้ต่าง ๆ ดังนั้นการร่วมมือ กับ พว.จึงเป็นการส่งเสริมและแสดงศักยภาพของทั้ง 2 ฝ่ายในการร่วมกันพัฒนาสื่อ เทคโนโลยีต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาครูให้มีความเข้มแข็ง มีองค์ความรู้ เทคนิคในการเรียนการสอนแบบ Active Learning ด้วย

“ดิฉันมั่นใจว่าความร่วมมือดังกล่าวจะทำให้ผู้สอนสามารถจัดกระบวนการเรียนการสอนผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ  GPAS 5 Steps ได้และทำให้ผู้สอนมีแผนการสอนที่ดี มีวิธีการที่ดี และคำนึงถึงผลลัพธ์ที่ได้จะเกิดประสิทธิภาพในการจัดการสอน ซึ่งผู้สอนจะสามารถนำไปเขียนผลงานที่มีคุณค่าเพื่อนำเสนอเป็นผลงานวิชาการได้เพื่อเลื่อนวิทยฐานะได้ และในทางกลับกันหากไม่มีแผนการสอนที่ดีไม่มีกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ การเขียนผลงานก็ยากที่จะผ่านได้ เพราะฉะนั้นเชื่อว่าด้วยกระบวนการและวิธีการจัดการเรียนการสอนนี้จะนำไปสู่การพัฒนาผลงานเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการได้อย่างแน่นอน”อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรีกล่าว

ผศ.ดร.วาสนา สังข์พุ่ม คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพัฒนาการศึกษาไทย โดยเฉพาะการยกระดับคุณภาพครูผู้สอน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนระบบการศึกษา ความร่วมมือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ชัดเจนในการพัฒนาการศึกษาระดับประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษา โดยเน้นย้ำการพัฒนาเชิงคุณภาพและนวัตกรรม ซึ่งได้กำหนดแนวทางในการผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ทั้งสื่ออิเลคทรอนิกส์ หนังสือเสริมทักษะและสื่ออื่น ๆ ที่สอดคล้องกับยุคดิจิทัล เพื่อเสริมศักยภาพในการจัดการเรียนการสอน นอกจากนี้ยังเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของการฝึกอบรมและสัมมนาเพื่อพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนทุกระดับชั้นโดยมุ่งหวังให้ครูก้าวขึ้นมาเป็นนวัตกรทางการศึกษา สามารถทำหน้าที่เป็นครูโค้ชและที่ปรึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการสร้างครูที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิชาชีพ แต่ยังมุ่งหวังให้ครูมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนให้สอดคล้องกับโลกในอนาคตด้วย

ด้าน ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ กรรมการปฎิรูปประเทศด้านการศึกษา ประธานกรรมการบริหาร สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นการเริ่มต้นที่ตรงกับปัญหาด้านการศึกษาของประเทศ โดยมีโครงการ ยุทธศาสตร์ แนวคิด และหลักการตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้น และยังคาดหวังว่าจะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาระยะสั้นและระยะยาวของประเทศได้เป็นอย่างดีแลตรงเป้าหมาย ซึ่งนับว่าเป็นความโชคดีของประเทศที่มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรีตระหนักและเห็นความสำคัญทางด้านการศึกษาของประเทศซึ่งตนขอชื่นชมคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ที่มีวิสัยทัศน์และมาร่วมมือกับทาง พว.ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การปรับเปลี่ยนประเทศให้เป็นสังคมฐานความรู้ที่แท้จริงในรูปแบบของการดำเนินงานเชิงรุก

ทั้งนี้ ภายหลังการลงนามความร่วมมือ ได้มีการมีการแถลงข่าวความร่วมมือจัดการประกวดแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เพื่อรองรับการประกันคุณภาพภายนอกของสถานศึกษา โดยแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติหรือขั้นตอนการปฏิบัติที่ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ หรือนำไปสู่ความเป็นเลิศตามเป้าหมาย เป็นที่ยอมรับในวงวิชาการหรือวิชาชีพนั้น ๆ และมีหลักฐานของความสำเร็จปรากฏชัดเจน มีการสรุปวิธีปฏิบัติหรือขั้นตอนการปฏิบัติ ตลอดจนความรู้และประสบการณ์ที่ได้บันทึกเป็นเอกสาร และเผยแพร่ให้หน่วยงานภายในหรือภายนอกสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งอาจเกิดจากตัวบุคคลและกลุ่มบุคคลที่มีการวางแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนว Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps สำหรับใช้กับนักเรียนระดับปฐมวัย ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา เนื่องมาจากในการทำงาน ทุกคนจะเกิดการเรียนรู้วิธีไปสู่เป้าหมายของหน่วยงาน ซึ่งผู้ปฏิบัติจะเรียนรู้ การแก้ปัญหาที่ดีได้จากการเสนอแนะของผู้บริหาร เพื่อนร่วมงาน ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วิธีการใหม่ ๆ หรือวิธีการที่ดีกว่าเดิม นอกจากกิจกรรมดังกล่าวจะเกิดประโยชน์โดยตรงต่อนักเรียน แล้ว ยังส่งผลต่อการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาและตอบโจทย์การประกันคุณภาพภายนอกสถานศึกษา ของ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.) ซึ่งในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ โรงเรียนและครูที่สนใจส่งผลงานเข้าประกวดสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี และ สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการต่อไป

นักเรียน ม.6 เฮ! 2-6 ธ.ค.นี้ สพฐ.ไฟเขียวเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้หยุดอ่านหนังสือเตรียมสอบ TGAT/TPAT

เมื่อวันที่ 2ึ7 พฤศจิกายน 2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมประสานภารกิจกระทรวงศึกษาธิการ ว่า ตนได้เน้นย้ำให้มีการติดตามความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ผ่านการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA ซึ่ง สพฐ.ได้นำเสนอแผนการขยายผลพัฒนาและสร้างข้อสอบความฉลาดรู้ด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ผ่านระบบออนไลน์ Google Classroom โดยมีแกนนำเข้าระบบเรียนรู้ ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 245 คน ทำหน้าที่กำกับ และผู้อำนวยการโรงเรียน 29,152 คน ร่วมติดตามและสะท้อนผล  รายงานการเข้าใช้ระบบ Computer Based Test ภาพรวม 245 เขตพื้นที่การศึกษา โดยตนได้มอบหมายให้สพฐ.จัดให้ครบทุกรุ่น

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังได้เน้นย้ำถึงการขับเคลื่อน “โครงการ Thailand Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” ของนายกรัฐมนตรี โดยมอบหมายให้ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ศทก.) สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(สป.ศธ.) รับผิดชอบฐานข้อมูลในการดำเนินงาน ทั้งนี้ตนได้กำชับว่าในการดำเนินการให้ใช้ฐานข้อมูลของ ศทก.สป.ศธ. เป็นหลักเพื่อให้การทำงานเรื่อง Thailand Zero Dropout มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ จะพยายามลดจำนวนเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาให้ได้มากที่สุด โดยมิติในการทำงานของตน คือ ป้องกัน แก้ไข และ ส่งต่อ โดยป้องกัน คือ การมีมาตรการป้องกันไม่ให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ซึ่งต้องเพิ่มความเอาใจใส่ในการดูแลเด็กกลุ่มเสี่ยงให้มากขึ้น แต่ถ้าเด็กหลุดออกจากระบบไปแล้วก็ต้องแก้ไขเอาเด็กกับเข้ามาสู่ระบบการศึกษา โดยขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ได้เริ่มแก้ไขไปแล้วด้วยการทำโครงการพาน้องกลับมาเรียน นำการศึกษาไปให้น้อง แต่ถ้าเด็กไม่กลับเข้าสู่ระบบจริง ๆ ก็จะมีกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร.)ที่เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการส่งเสริม ดูแลเด็กกลุ่มนี้ให้ได้รับการศึกษาหรือได้รับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เช่น เด็กที่อยู่ในเรือนจำ เด็กที่กรณีบิดา มารดา ย้ายถิ่นฐานก็จะมีวิธีดำเนินการที่จะส่งต่อเพื่อให้เด็กได้เรียนต่อเนื่อง โดยให้สกร.ไปดูรูปแบบว่าจะดำเนินการกับเด็กกลุ่มนี้อย่างไร และให้นำข้อสรุปมารายงานในวันที่ 15 ธันวาคม นี้

“สำหรับเรื่องของขวัญปีใหม่ เบื้องต้น ผมได้รับรายงานจาก สพฐ.ว่า ปีนี้ จะจัดของขวัญปีใหม่ให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6  ให้สามารถหยุดเรียนได้ในระหว่างวันที่ 2-6 ธันวาคม 2567 โดยให้นับเป็นเวลาเรียนปกติเพื่อให้เด็กเตรียมตัวสอบ ได้อ่านหนังสือที่บ้านได้ หรือถ้าบางแห่งมีความพร้อมก็ให้จัดติว หรือ จัดกล่องความรู้ สู่ความสุข จัดสอนเสริม เพิ่มเทคนิค สร้างความมั่นในใจการสอบ TGAT/TPAT ตามนโยบาย เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา (Anywhere Anytime) โดยครูผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ ตามแนวทางประกาศ สพฐ.  เรื่อง การส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน โดยมีแนวทาง ดังนี้ 1. ให้สถานศึกษาอนุญาต ให้นักเรียนเรียนเสริมความรู้ทั้งในหรือนอกห้องเรียน (ที่บ้านหรือโรงเรียน) 2. ให้สถานศึกษาที่มีความพร้อม จัดสถานที่ในโรงเรียนเพื่อใช้ในการเรียนเสริมความรู้ให้แก่นักเรียนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย 3. ให้สถานศึกษาทุกแห่ง มีมาตรการ กำกับ ติดตาม ตรวจสอบการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างมีคุณภาพ และมีมาตรการป้องกัน ดูแลด้านความปลอดภัย ให้แก่นักเรียน เป็นต้น”พลตำรวจเอกเพิ่มพูน กล่าว

สพฐ.จัดการเด็ดขาดครูล่วงละเมิดนักเรียน ย้ำโรงเรียนต้องเป็นสถานที่ปลอดภัย 

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจาก ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. ในการติดตามข้อเท็จจริง กรณีครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี ล่วงละเมิดเด็กนักเรียนชายในโรงเรียนจำนวนกว่า 10 คน โดยได้สั่งการให้ศูนย์บริหารความสุขและความปลอดภัย สพฐ. ร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต้นสังกัด เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยทันที ซึ่งพบว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ขณะนี้ครูคนดังกล่าวได้ถูกดำเนินการทางวินัยโดยให้ออกจากราชการไว้ก่อน และได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมเพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายแล้ว โดยโรงเรียนจะติดตามความคืบหน้าของคดีอย่างใกล้ชิดต่อไป พร้อมทั้งได้นำนักจิตวิทยาเข้าไปดูแลฟื้นฟูสภาพจิตใจของเด็กและผู้ปกครองทุกคน ทั้งนี้ สพฐ. มีความห่วงใยและกำชับให้เขตพื้นที่ติดตาม กำกับ ดูแลให้โรงเรียนในสังกัดปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยในสถานศึกษาอย่างเคร่งครัด ไม่ให้เกิดการละเมิดทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อให้โรงเรียนเป็นสถานที่ปลอดภัย เพื่อประโยชน์ของนักเรียนและครูทุกคน

กมว.เห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบายการพัฒนาครูในศตวรรษที่ 21 พร้อมออกใบอนุญาตผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาใหม่กว่า 7 พันราย

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 รศ.ดร.ศิริเดช สุชีวะ ประธานกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ ครั้งที่ 10/2567 โดยมี ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา เป็นกรรมการและเลขานุการการประชุม โดยรศ.ดร.ศิริเดช  กล่าวว่า ที่ประชุม กมว. พิจารณาให้ความเห็นข้อเสนอเชิงนโยบาย สาระการพัฒนาครูในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 1) ความเป็นมา 2) กรอบแนวคิดทางวิชาการ 3) นิยามปฏิบัติการ 4) ขั้นตอนการดำเนินงาน 5) เป้าหมายการพัฒนาครูเพื่อสมรรถนะผู้เรียน 6) ผลการสังเคราะห์ข้อมูล 7) เป้าหมายการพัฒนาครู และ 8) ข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวทางการดำเนินงาน โดยสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาได้จัดรับฟังความเห็นแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา และบุคคลทั่วไปเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ กมว.ยังรับทราบการอนุมัติออกและต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา โดยเลขาธิการคุรุสภาให้แก่ผู้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตและขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ที่สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาตรวจสอบแล้ว มีคุณสมบัติครบถ้วนและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนี้ ออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา จำนวน 7,313 ราย ได้แก่  ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู 6,592  ราย  ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา   607 ราย  ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา 50 ราย ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพศึกษานิเทศก์  64  ราย และ ต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา จำนวน 14,296 ราย ได้แก่ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู 12,763  รายใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา 1,375  ราย ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา 53  ราย และ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพศึกษานิเทศก์ 105  ราย

สพฐ.สั่งเขตพื้นที่จ่ายเงินเดือนลูกจ้างเหมาไปก่อน เดินหน้าตามน้องกลับมาเรียน พร้อมใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมากขึ้น วางแนวทางทำพอร์ตโฟลิโอออนไลน์ –บัตรสุขภาพเด็กออนไลน์

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า  ที่ประชุมได้รับทราบถึงความเดือดร้อนของกลุ่มลูกจ้างสังกัดสำนัก สพฐ.จำนวน 7 หมื่นกว่าคนที่มาชุมนุมเรียกร้องให้เปลี่ยนวิธีการจ้างจากการจ้างเหมาบริการไปเป็นวิธีการจ้างลูกจ้างชั่วคราวตามเดิม โดย สพฐ.ได้เสนอเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) และกรมบัญชีกลางแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่มีคำตอบใดกลับมา  อย่างไรก็ตามเพื่อบรรเทาความเดือนร้อนของลูกจ้าง สพฐ.ได้ออกหนังสือกำชับไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตให้ทำสัญญาและจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยได้เน้นย้ำกับเขตพื้นที่ฯ ให้แจ้งไปยังโรงเรียนที่ได้รับอัตราจ้าง ว่า ให้จ้างตามงบประมาณที่ได้ คือ จ้างเหมาบริการไปก่อน หาก ก.พ.หรือหน่วยงานที่หารือไปยินยอมให้เปลี่ยนการจ้างได้ก็ค่อยมาของบประมาณเพื่อมาจ่ายเป็นเงินสมทบประกันสังคมได้ แต่ตอนนี้ต้องจ่ายตามหลักเกณฑ์ของกรมบัญชีกลาง คือ จ่ายในลักษณะของการจ้างเหมาบริการตามระเบียบพัสดุไปก่อน

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับการแก้ปัญหาเด็กออกนอกระบบตามโครงการ Thailand Zero Dropout เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาต้องเป็นศูนย์นั้น วันนี้ในระบบของ สพฐ.พบว่า มีเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาแล้วรวมทั้งสิ้น 400,000 กว่าคนแล้ว โดยในจำนวนนี้เป็นเด็กในสังกัด สพฐ. 100,000 กว่าคน ซึ่ง สพฐ.ได้ทำโครงการ “พาน้องกลับมาเรียน นําการเรียนไปให้น้อง” หรือ OBEC Zero Dropout ในการติดตามค้นหาพาน้องกลับมาเรียนและนำการเรียนไปให้น้อง โดยส่งรายชื่อเด็กที่หลุดออกจากระบบทั้งหมดไปให้เขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตแล้ว เพื่อติดตามค้นหาและพาเด็กกลับมา แต่สำหรับคนที่ไม่กลับมาเราก็จะนำการศึกษาไปให้ โดยมีเด็กกลุ่มที่ต้องทำเป็นพิเศษ คือ เด็กที่ป่วยอยู่โรงพยาบาลหรืออยู่ที่บ้าน โดยมีสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ หรือ  สศศ. ที่จะนำสื่อการเรียนต่าง ๆ เข้าไปให้ที่บ้านหรือที่โรงพยาบาล เพื่อให้น้องทุกคนได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน

ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าวว่า ในส่วนของการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 นั้น ตนได้เน้นย้ำกับผู้อำนวยการสำนักต่าง ๆ ของ สพฐ.ว่า ให้ไปเตรียมจัดทำคำของบฯ ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล นโยบายกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงนโยบายและจุดเน้นของ สพฐ. และได้ย้ำเป็นพิเศษโดยให้ทุกสำนักจัดทำคำของบฯแนวใหม่ คือ ให้มีโครงการใหม่ ๆ นโยบายใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน การพัฒนาครู การพัฒนาสื่อ ตามนโยบายเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา Anywhere Anytime การลดภาระครู และการทำพอร์ตโฟลิโอออนไลน์เพื่อความสะดวกและคล่องตัวสำหรับเด็ก ในอนาคตเมื่อเด็กจะไปเรียนต่อก็ไม่จำเป็นต้องถือแฟ้มใหญ่ ๆ ไปอาจจะถือเป็นแฟลชไดร์ฟ หรือแผ่นดิสก์ก็ใช้เปิดได้แล้ว หรือบางคนอาจจะแขวนไว้ในคลาวด์แล้วดึงออกมาใช้ได้เลย เป็นการเน้นนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนตามนโยบายรัฐบาลและนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ

“นอกจากนี้ผมยังสั่งการให้มีการทำบัตรสุขภาพเด็กออนไลน์ในปี 2569 ด้วย โดยจะมีข้อมูลประวัติสุขภาพของเด็กทุกคน ไม่ว่าจะเป็นประวัติการเจ็บป่วยหรือปัญหาสุขภาพ เพื่อให้เด็กสามารถเข้าถึงระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนและดูแลความปลอดภัยได้ ซึ่งจะเป็นการขับเคลื่อนนโยบายเรียนดี มีความสุข ให้ลงถึงห้องเรียน  เพราะตัวชี้วัดที่จะชี้ว่าเด็กมีความสุขหรือไม่ ตามนโยบาย เรียนดี มีความสุข จะต้องดูที่ตัวนักเรียน และ ครู ถ้าถามนักเรียนแล้วมีความสุขอยากมาโรงเรียน ถามครูก็อยากสอน อยากมาโรงเรียน ทุกคนมีความสุข ก็ถือว่าเราไปถึงเป้าหมายแล้ว  โดยผมได้เน้นย้ำไปกับผอ.เขตพื้นที่ฯ และ ผอ.โรงเรียนว่า จะต้องทำความเข้าใจกับครูผู้สอน นักเรียน และ ประชาชนว่า นโยบายเรียนดี มีความสุขตัวชี้วัดที่สำคัญ คือ ผู้เรียน และ ครู ที่จะต้องมีความสุข”เลขาธิการกพฐ.กล่าว