ครม.ยังไม่พิจารณาเงินเยียวยา ป.ตรีอาชีวะ”ตรีนุช”รับปากจะเร่งดำเนินการ

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ศธ.ได้รายงานภาพรวมการเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีรับทราบ ซึ่งศธ.ได้รายงานว่าขณะนี้มีนักเรียนอายุ 12-18 ปี ได้รับวัคซีนกว่า 2.8 ล้านคนแล้ว ส่วนครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับวัคซีนเข็มแรกกว่า 90% ส่วนเข็ม 2 ได้รับไปแล้วกว่า 60% ยังมีครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนประมาณ 87,000 คน ซึ่งขณะนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)ให้ทำความเข้าใจกับครู และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปฉีดวัคซีนให้ครูที่ยังไม่ได้รับวัคซีนต่อไป คาดว่าภายในเดือนพฤศจิกายนครูและบุคลากรทางการศึกษาจะได้รับวัคซีนอย่างน้อยเข็มแรกครบทุกคน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีผู้ปกครองยื่นความประสงค์ให้ลูกฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่มีอยู่ 3.8 ล้านคน และทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเห็นเพื่อนฉีดแล้วไม่มีผลข้างเคียง หรือมีผลกระทบอะไร จึงเกิดความมั่นใจแล้วยื่นประสงค์ขอรับวัคซีนเพิ่มเติม ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ศธ.ประชาสัมพันธ์ ว่า ศธ.มีความพร้อมในการเปิดภาคเรียนออนไซต์แล้ว

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ตนได้รับรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทั่วประเทศ ว่า มีโรงเรียนเปิดเรียนรูปแบบออนไซต์ ประมาณ 12,000 แห่ง ส่วนโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร และโรงเรียนสังกัดอื่นๆ จะเปิดเรียนออนไซต์ วันที่ 15 พฤศจิกายน ดังนั้นคาดว่าในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ จะมีโรงเรียนเปิดเรียนรูปแบบออนไซต์เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ศธ.เน้นย้ำให้โรงเรียนเข้มงวดมาตรการ 6-6-7 โดยยึด 6 มาตรการหลัก 6 มาตรการเสริม และ 7 มาตรการเข้ม อย่างไรก็ตาม แผนเผชิญเหตุก็มีส่วนสำคัญ หากโรงเรียนในพื้นที่ไหนมีความสุ่มเสี่ยง ให้โรงเรียนดำเนินการตามแผนเผชิญเหตุที่กำหนดไว้ทันที โดย สธ.​จะเข้าไปช่วยเหลือ ส่วนเปิดเรียน 3 วันที่ผ่านมา ยังไม่มีข้อมูลนักเรียนเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 แต่อย่างใด ส่วนเรื่องการเยียวยานักศึกษาในสถาบันการอาชีวศึกษา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)จากโครงการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาเพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ปกครองนักเรียนและนักศึกษา เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) นั้น การประชุม ครม.วันนี้ ยังไม่มีการพิจารณา ซึ่ง ศธ.ได้เร่งดำเนินการเรื่องนี้อยู่ โดยขณะนี้ทาง ครม.รับทราบหลักการเบื้องต้นแล้ว

ก.ค.ศ.เดินหน้าหากรรมการประเมิน PA ตั้งเป้าคัดคนคุณภาพร่วมพลิกโฉมระบบการศึกษาไทย

รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(...) เปิดเผยความคืบหน้าของขั้นตอนการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะใหม่ หรือเกณฑ์ PA ว่า ขณะนี้สำนักงาน ... ได้มีการเปิดรับสมัครผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการประเมินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผ่านระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (Digital Performance Appraisal : DPA) ซึ่งจะเปิดใช้ระบบตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป โดยขณะนี้ได้มีการประชาสัมพันธ์รับสมัครข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา อาจารย์ในมหาวิทยาลัย รวมทั้งผู้ที่สนใจสมัครเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินดังกล่าวทางเว็บไซต์ของสำนักงาน ... ที่www.otepc.go.th และทางเพจ Facebook สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564  ซึ่งได้รับความสนใจจากข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา อาจารย์ในมหาวิทยาลัย สมัครเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก โดยจะเปิดรับสมัครต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งคาดว่าจะมีผู้สมัครเข้าร่วมเป็นผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการประเมินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผ่านระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัล      (Digital Performance Appraisal : DPA) มากกว่า 10,000 คน และหลังจากการรับสมัครเสร็จสิ้นแล้ว สำนักงาน ... จะได้นำผู้สมัครเข้าสู่กระบวนการพัฒนาศักยภาพผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อให้เกิดความเหมาะสมต่อการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต่อไป

     

เลขาธิการ ..กล่าวว่า ตามที่ ..ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะใหม่ ในสายงานการสอน ( 9/2564) สายงานบริหารสถานศึกษา  ( 10/2564)  สายงานนิเทศการศึกษา  ( 11/2564)  ซึ่งได้ประกาศใช้หลักเกณฑ์ ไปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เพื่อให้เป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ  และสามารถตอบโจทย์การพัฒนาครูและยกระดับผลลัพท์การเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงาน ... ได้มีการสร้างความเข้าใจและชี้แจงแนวทางการประเมินวิทยฐานะใหม่ (PA)  เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ ในการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานตามแนวทางการประเมินวิทยฐานะใหม่ (PA) พร้อมกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมาซึ่งหลังจากนี้เป็นขั้นตอนของการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการประเมินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผ่านระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (Digital Performance Appraisal : DPA) ซึ่งจะเปิดใช้ระบบดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป ซึ่งหลังจากการรับสมัครเสร็จสิ้นแล้ว สำนักงาน... จะได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติและแจ้งรายชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติให้ผู้สมัครทราบ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการพัฒนาศักยภาพผู้ทรงวุฒิ และจะได้เสนอรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่ผ่านการพัฒนา ให้ .... วิสามัญ ที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาเห็นชอบ และจะได้เริ่มประเมินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 เป็นต้นไป

สำนักงาน ... มีความคาดหวังว่าระบบวิทยฐานะใหม่นี้ จะเป็นกลไกในการพลิกโฉมวิชาชีพครูสู่คุณภาพการศึกษาที่ดีขึ้นและตั้งใจอย่างยิ่งที่จะสร้างระบบการประเมินวิทยฐานะใหม่ ให้เกิดความเป็นธรรม มีประสิทธิภาพ สามารถสร้างประโยชน์ให้กับระบบการศึกษาไทยให้มากที่สุดทั้งในระดับผู้เรียน ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ตลอดจนสามารถขับเคลื่อนระบบการศึกษาให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งการรับสมัครผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการประเมินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผ่านระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (Digital Performance Appraisal : DPA) ในครั้งนี้ สำนักงาน ... จะได้คัดเลือกผู้สมัครที่มีความรู้ ประสบการณ์และมีคุณสมบัติตามที่ ... กำหนด เพื่อทำหน้าที่ประเมินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจึงขอให้เชิญชวนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา คณาจารย์จากมหาวิทยาลัยรวมไปถึงผู้ที่สนใจทุกท่าน เข้าร่วมสมัครเป็นผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการประเมินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา  ผ่านระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (Digital Performance Appraisal : DPA) เพื่อเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพลิกโฉมวิชาชีพครูสู่คุณภาพการศึกษาที่ดี   กับ ... ต่อไป ”  รศ.ดร.ประวิต กล่าว

ผอ.สพม.กท.1 สั่ง “สวนกุหลาบ”รายงานวิทยากรอบรมครูปล่อยมุกไม่เหมาะสม

จากกรณีการจัดอบรมพัฒนาครูของโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครที่มีการเชิญวิทยากรมาอบรมในหัวข้อ “การดำรงตนของครูในยุค 4.0” แต่ปรากฏว่าวิทยากรกับมีการปล่อยมุกซื้อไปในทางสองแง่สองง่ามทำให้ครูผู้เข้ารับการอบรมถึงกับรับไม่ได้และมีการโพสต์บ่นกันในสื่อโซเชียลอย่างกว้างขวางนั้น

ดร.นิยม ไผ่โสภา ผู้อำนวยการการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร (ผอ.สพม.กท.)เขต 1 กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาหลายวันแล้ว แต่ตนเพิ่งเห็นโพสต์จากข่าว จึงได้สั่งการให้ผู้อำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงที่มาที่ไปของการจัดอบรมดังกล่าว และรายงานด้วยว่าวิทยากรเป็นใครมาจากไหน เพราะอ่านดูในสื่อโซเชียลเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสมจริงๆ ดังนั้นจึงจะรอให้โรงเรียนรายงานมาก่อน

“ตรีนุช”ตั้ง”สุเทพ ชิตยวงษ์”เข้าทีมที่ปรึกษา

***หยอก หยอก 3 พฤศจิกายน 2564 *** เข้าฤดูกาล ปลายฝนต้นหนาว อากาศเปลี่ยนแปลงรักษาสุขภาพกันนะจ๊ะนานแล้วที่หยอก หยอก ไม่ได้ อัพเดทข่าวความเคลื่อนไหววงในวังจันทรเกษมวันนี้รู้อะไรมาก็ขอเล่าสู่กันฟังซักหน่อย***เริ่มจากข่าวการตั้งทีมที่ปรึกษา เสมา 1 “ตรีนุช เทียนทองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่เพิ่งแชร์กันออกมา จะด้วยเหตุผลกลใดไม่อาจทราบได้ !!! จู่ๆ ก็มีคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามโดยตรีนุช เทียนทองเมื่อวันที่29 ตุลาคม ที่ผ่านมา แต่งตั้งคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 4 รายชื่อ ประกอบด้วยไพบูลย์ เสียงก้อง  บัณฑิต เอื้ออาภรณ์  ปิยะพันธ์ ทยานิธิสุเทพ ชิตยวงษ์เรื่องนี้สร้างความฮือฮาอย่างมาก วิพากษ์วิจารณ์กันเสียงแตก งานนี้จะเป็นการเสริมทัพหรือคานอำนาจประธานที่ปรึกษาคณะทำงาน เสมา 1  ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์กันแน่  *** แต่ที่แน่ๆ เหตุใดอำนาจ วิชยานุวัติอดีตเลขาธิการสภาการศึกษา ที่เกษียณอายุราชการไปหมาดๆและมีเสียงกระซิบให้แซดว่า จะได้รับการวางตัวมาเป็นที่ปรึกษาครูเหน่งอีกคนเพราะช่วงก่อนเกษียณฯถูกเรียกใช้งานอยู่บ่อย แต่สุดท้ายรายชื่อกลับหลุดโผไปซะงั้น โดยมีม้ามืดสุเทพ ชิตยวงษ์อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือ กพฐ. ที่ปัจจุบันนั่งตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มาเป็น 1 ในทีมที่ปรึกษา ที่จะมาดูเรื่องยุทธศาสตร์ ขับเคลื่อนการศึกษา ส่วนไพบูลย์ เสียงก้องอดีตมือกฎหมายวังจันทรเกษมก็น่าจะมาช่วยดูเรื่องกฎหมายการศึกษาที่ค้างคากันอยู่ ขณะที่ปิยะพันธ์ ทยานิธิผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ จะดูเรื่องกองทุนต่างๆ ซึ่งน่าจะรวมไปถึงเรื่องหนี้สินครูด้วย และบัณฑิต เอื้ออาภรณ์คงดูเรื่องวิชาการ *** อันนี้หยอก หยอก งงสิจ๊ะ มันเกิดอะไรขึ้น ให้ไปวิเคราะห์กันเองนะจ๊ะ นะจ๊ะ***ปรับโหมดแวะดูโครงการก่อสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา หรือที่เรียกกันว่าอควาเรียมหอยสังข์วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)ที่ยังไม่รู้ว่าจะไปทางไหน *** ว่ากันว่า มีกลุ่มการเมืองท้องถิ่นเข้ามาเอี่ยว ถึงกับทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ขอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเดินหน้าสร้างอควาเรียมหอยสังข์ต่อไป   ขณะเดียวกันก็มีเสียงสนับสนุนให้ปรับรูปแบบการใช้งานอาคารอควาเรียมและสิ่งปลูกสร้าง แทนที่จะเดินหน้าเป็นอควาเรียมก็ปรับไปใช้ประโยชน์อื่นซะ อย่างศูนย์ประชุม หรือแหล่งเรียนรู้อื่นน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า *** แต่ที่รู้ๆสุภัทร จำปาทองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงศึกษาพื้นที่และได้สรุปแนวทางไปที่ตรีนุชเรียบร้อยแล้ว ก็อยู่ที่ว่า เสมา 1  ผู้มีอำนาจเด็ดขาดจะตัดสินใจอย่างไร ก็รอติดตามกันต่อไป ***จบแล้วกับการทักท้วง รายชื่อกรรมการประเมินผลงานของธนพร สมศรีเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)ที่มีบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูรเป็นประธาน ที่คงตัวกรรมการและสัดส่วนของคณะกรรมการเหมือนเดิม ซึ่งก่อนหน้านี้ธนพรได้ทักทวงกรรมการคนหนึ่งที่เคยเป็นกรรมการสัมภาษณ์ตอนสรรหาเลขาธิการสกสค. โดยตั้งคำถามแบบมีอคติ จึงเกรงว่าจะมีผลต่อการประเมินฯ และค้านสัดส่วนกรรมการประเมินจาก 7คน เหลือ 5 คน แม้ว่าสัดส่วนกรรมการหรือกรรมการจะไม่ถูกใจธนพรแต่เชื่อได้ว่า เมื่อคนชื่อบัณฑิต ศรีพุธางกูรนั่งหัวโต๊ะ ความยุติธรรมโปร่งใส ต้องมีแน่นอน ***จบท้ายด้วย อีเว้นท์ ที่ทีมผู้มีอำนาจส่งไปยังหน่วยงานหลักอยู่เนืองๆ ถ้าทำให้ถูกต้อง เหมาะสมกับเนื้องาน ถูกหลักการพัสดุ ไม่ทำให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยลำบากใจ หยอก หยอก จะไม่เข้าไปยุ่ง แต่เห็นเอกสารแล้ว ถึงกับร้อง เฮ้อ   ต้องเอามากางแฉกันอีกมั้ยน้อน่าเหนื่อยใจแท้***

“ปัตตานี”นำร่องโครงการอาหารเช้าเพื่อน้อง พบเด็กมีภาวะทุพโภชนาการสูง

ที่สํานักงานศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 3 พ.ย.2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.) เป็นประธาน เปิดโครงการอาหารเช้าเพื่อน้อง : นักเรียนอิ่มท้อง ผู้ปกครองอิ่มใจ  โดย น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า จากการรับฟังรายงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ทําให้ทราบว่า หลายพื้นที่ยังคงมีนักเรียนที่มีภาวะทุพโภชนาการ และความเป็นอยู่ที่ ยากลําบาก น้อง ๆ ในหลายครอบครัวไม่ได้รับประทานอาหารเช้าก่อนไป โรงเรียน ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กและเยาวชนอย่างมีนัยสําคัญ การได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เป็นสิ่งจําเป็นสําหรับการพัฒนาคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กเล็กและน้อง ๆ ในวัยเรียน ซึ่งเป็นวัยที่กําลัง เจริญเติบโต และต้องการสารอาหารที่ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ มาใช้ในการพัฒนา กําลังกาย กําลังสมองอย่างเต็มที่ ซึ่งการได้รับสารอาหารที่เพียงพอนั้น ก็จะ ช่วยให้น้องๆมีร่างกายที่แข็งแรงและมีสติปัญญาที่เฉียบคม

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า นอกจากนี้การที่น้องๆอิ่มท้องก็นํามาซึ่งความอิ่มใจคือมีจิตใจที่พร้อม ที่จะเรียนรู้ เมื่อทั้งหมดทั้งมวลนี้ประกอบกัน ย่อมส่งผลดีต่อการจัดการ เรียนรผู้ของทุกฝ่าย ทั้งเด็ก ๆ คุณครู รวมถึงพ่อแม่ ผู้ปกครองทุกคน

“โครงการอาหารเช้าเพื่อน้อง:นักเรียนอิ่มท้องผู้ปกครองอิ่มใจ”เกิดขึ้น จากการตระหนักถึงความสําคัญของการแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการในเด็ก และเยาวชน ซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่สําคัญของชาติที่กระทรวงศึกษาธิการได้ ให้การดูแลอยู่ วันนี้เราได้นําร่องโครงการที่ปัตตานีเป็นจังหวัดแรกด้วยเล็งเห็นถึงความ จําเป็นที่จะต้องทําให้ลูกหลานของพี่น้องชาวปัตตานีทุกคน มีชีวิตความ เป็นอยู่ที่ดี และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ อันจะเป็นกําลังสําคัญในการ สร้างสรรค์ความเจริญและสันติสุข ให้บังเกิดกับจังหวัดปัตตานี และพื้นที่ จังหวัดชายแดนใต้ต่อไป”น.ส.ตรีนุช กล่าว

ด้าน ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวว่า อาหารเช้าเพื่อน้อง:นักเรียนออามท้อง ผู้ปกครองอิ่มใจ มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนรู้ของนักเรียนลดความเสี่ยงการเกิดโรคในเด็กวัยเรียนตลอดจนช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองโดยการจัดหาอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนให้กับนักเรียน ซึ่ง สพฐ. ได้กำหนดให้จังหวัดปัตตานีเป็นจังหวัดนำร่องเนื่องจากจังหวัดปัตตานีเป็นพื้นที่ที่มีภาวะทุพโภชนาการของนักเรียนสูงเฉลี่ย31.16 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยภาวะทุพโภชนาการของนักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา ประกอบกับพื้นที่ดังกล่าวเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติศาสนาวัฒนธรรมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ซึ่งผู้ปกครองส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำสวนยางพาราและอาชีพประมงเป็นหลักทำให้ผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแลนักเรียนเพราะต้องออกไปประกอบอาชีพตั้งแต่เช้ามืดนักเรียนส่วนใหญ่จึงไม่ได้รับประทานอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียนส่งผลให้นักเรียนมีภาวะทุพโภชนาการสูงอีกทั้งการดำเนินโครงการดังกล่าวทาง สพฐ. มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียนและประชาชนในพื้นที่สังคมพหุวัฒนธรรมที่มีความเข้มแข็งโดยใช้เงินดอกผลกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษาเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการดังกล่าวและได้กำหนดระยะเวลาดำเนินการโครงการในปีงบประมาณ 2565

 

ศธ.แจกเงินเยียวยาทายาทครูเสียชีวิตในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เฟส 2 พร้อมเตรียมทำเกณฑ์เยียวยาครูทุพพลภาพจากเหตุไม่สงบพื้นที่ จชต.เสนอครม.

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 ที่ ศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศปบ.จชต.)  ได้มีการมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้เสียชีวิตอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพิธีกล่าวสดุดียกย่องเชิดชูเกียรติพร้อมมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

โดย ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวรายงานว่า ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา เหตุการณ์ความไม่สงบได้สร้างความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินให้กับทุกกลุ่มอาชีพ อาชีพครูเป็นเป้าหมายของผู้ก่อเหตุความรุนแรง เริ่มจากการเสียชีวิตของครูคนแรก เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2547 จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 ในจังหวัดปัตตานียะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย) ถูกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงทำร้ายจนเสียชีวิต 162 ราย พิการ 9 ราย รวม 171 ราย ทั้ง ที่ครูคือผู้สร้างอนาคตของเด็กและเยาวชน รวมถึงการพัฒนาชุมชน ด้านการศึกษา คุณธรรม จริยธรรม และทักษะชีวิตในพื้นที่ แต่กลายเป็นเป้าหมายอ่อนแอที่มีความเสี่ยงต่อการสูญเสีย และไม่สามารถที่จะป้องกันตนเองได้ ทำให้ครูมีความยากลำบากในการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ การใช้ชีวิตประจำวัน และการจัดการเรียนการสอน ส่งผลกระทบต่อคุณภาพและโอกาสทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจึงเสนอขอรับการช่วยเหลือเยียวยาครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เสียชีวิต 162 ราย ละ4,000,000 บาท และคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้มีมติเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2556 เห็นชอบสนับสนุนสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้เสียชีวิตย้อนหลังไปถึงวันที่ 1 มกราคม 2547 โดยให้กระทรวงศึกษาธิการจัดสรรงบประมาณในการช่วยเหลือเยียวยารายละไม่เกิน  4 ล้านบาท โดยให้หักลบจากเงินเยียวยาที่เคยได้รับไปแล้ว และให้กระทรวงศึกษาธิการจัดสวัสดิการด้านอื่น ให้ได้มาตรฐานใกล้เคียงกับส่วนราชการต่าง ด้วย

กระทรวงศึกษาธิการ ได้ดำเนินการติดตามเร่งรัดให้ความช่วยเหลือเยียวยาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสียชีวิตมาโดยตลอดโดยได้นำเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้(คปต.) และสำนักงบประมาณขอจัดตั้งงบประมาณช่วยเหลือเยียวยาครูและบุคลากรทางการศึกษา ต่อมากรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการจ่ายเงินให้ผู้ได้รับผลกระทบได้ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2564  กระทรวงศึกษาธิการจึงออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้เสียชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 จ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รอบที่ 1 จำนวน 14 ราย เป็นเงิน 37,182,000 บาท โดยรายแรกได้จัดพิธีมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาให้แก่บิดามารดาของครูจูหลิง ปงกันมูล จำนวน 2,742,000 บาท เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2564 หอประชุมโรงเรียนอนุบาลดอยหลวง อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย และในวันนี้ เป็นพิธีมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาครูผู้เสียชีวิต จำนวน 13 รายซึ่งมีทายาทของผู้ชีวิตที่มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือเยียวยา จำนวน 39 ราย เป็นเงิน34,440,000 บาท ศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้

.. ตรีนุช กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นเกียรติในฐานะตัวแทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งติดภารกิจต่างประเทศ เพื่อร่วมพิธีกล่าวสดุดียกย่องเชิดชูเกียรติ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาครูและบุคลากรทางการศึกษาจากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2547 ทำให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งเสียชีวิตและทุพพลภาพ กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เช่น การพัฒนาอาชีพแก่ผู้เรียนในพื้นที่ การจัดสรรทุนการศึกษาฝึกอาชีพต่อยอดอาชีวศึกษา โครงการอุดหนุนนักเรียนดีที่มีความสามารถ ถือเป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่พยายามผลักดันสร้างโอกาสให้เกิดความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการเห็นว่าครูคือหัวใจสำคัญเพราะเป็นผู้ถ่ายทอด ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ เพื่อสร้างอนาคตเยาวชนของชาติ เป็นผู้อุทิศตนให้แก่เด็ก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนกระทั่งเกิดสถานการณ์ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้เสนอขอรับการเยียวยาครูผู้ได้รับผบกระทบจำนวน 162 ราย ละไม่เกิน 4 ล้านบาท พร้อมมอบทุนการศึกษาให้แก่ทายาท สานต่อให้มีโอกาสศึกษาต่อและพัฒนาอาชีพกว่า 5,000 รายในแต่ละปี

..ตรีนุช ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า สำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษาที่พิการและทุพพลภาพจากเหตุการณ์ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้นกระทรวงศึกษาธิการไม่ได้ทอดทิ้ง กำลังอยู่ระหว่างเตรียมการร่างหลักเกณฑ์เพื่อช่วยเหลือเยียวยาครูและบุคลากรฯกลุ่มนี้ด้วย โดยขณะนี้ทราบว่ามีประมาณ 9-11 คน ซึ่งยังที่มีชีวิตอยู่ คาดว่าจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับการเยียวยาครูที่เสียชีวิต เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาอนุมัติต่อไป

ทั้งนี้พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสดุดีคุรุวีรชนผู้ล่วงลับให้กำลังใจแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดใช้แดนภาคใต้ผ่านวิดีโอเทปบันทึกภาพว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ทำให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลามทุกคนที่ได้อุทิศทุ่มเทเสียสละแรงกายแรงใจในการปฎิบัติหน้าที่เพื่อพัฒนาความเจริญก้าวหน้าของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้รับผลกระทบส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและความเดือดร้อนความยากลำบากในการประกอบอาชีพ รวมทั้งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้คนในพื้นที่ได้รับบาดเจ็บทุพพลภาพและเสียชีวิตรัฐบาลมีความห่วงใยทุกท่านอย่างยิ่ง และมุ่งมั่นที่จะดูแลความปลอดภัยสวัสดิภาพคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนรวมทั้งไม่นิ่งนอนใจในการแก้ไขปัญหาต่างๆในพื้นที่ ได้เร่งรัดดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2556 เห็นชอบให้สนับสนุนสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้เสียชีวิตย้อนหลังไปถึงวันที่ 1 มกราคม 2547 จำนวน162ราย  ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการจัดสรรงบประมาณในการช่วยเหลือเยียวยารายละไม่เกินสี่ล้านบาทโดยให้หักรถจากเงินเยียวยาที่เคยได้ช่วยเหลือไปแล้ว

นายกฯกล่าวว่า วันนี้กระทรวงศึกษาธิการได้มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาให้แก่ทายาทครูที่เสียชีวิตจำนวน 13 รายซึ่งมีผู้ได้รับผลกระทบที่มีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาจำนวน 39 รายเป็นเงิน 34,440,000บาท ในนามของรัฐบาลขอขอบคุณกระทรวงศึกษาธิการและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือเยียวยาทายาทครูผู้เสียชีวิตจากเหตุความไม่สงบและในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ขอเป็นกำลังใจให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และขอชื่นชมความมุ่งมั่นตั้งใจและปณิธานในการปฎิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจเสียสละ อย่างเข้มแข็งของทุกคน ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะบูรณาการการทำงานกับทุกภาคส่วนให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคมพหุวัฒนธรรมและร่วมสร้างความสงบสุข สันติสุขอย่างยั่งยืนให้เกิดแก่พี่น้องประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกคนโดยไม่ให้เกิดความสูญเสียและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ในโอกาสนี้ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของคุรุวีรชน ขอสดุดี และขอร่วมไว้อาลัยขอวิญญาณของคุรุวีรชนผู้เสียสละอันเนื่องมาจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้พี่ได้สร้างคุณงามความดีแก่ชาติบ้านเมือง ขอให้อานิสงส์คุณงามความดีเพื่อหนุนดวงวิญญาณของวีรชนผู้เสียสละไปสู่สุคติในสัมปรายภพภพตราบนิรันดร์นายกรัฐมนตรีกล่าว

ด้านนางสมพร วงศ์ฤคเวช ทายาทครูฯผู้เสียชีวิต กล่าวว่า รู้สึกปลื้มใจที่ครอบครัวได้รับการเยียวยา จริงๆแล้วสถานการณ์แบบนี้ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับครอบครัว เพราะเป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดทำให้ครอบครัวของเราไปต่อไม่ได้แม้ว่าจะได้รับการเยียวยาแต่ก็ไม่สามารถทดแทนความสูญเสียของครอบครัวได้ แต่ก็ต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เข้ามาดูแล ซึ่งเป็นกำลังใจให้แก่ครอบครัวว่าไม่ถูกทอดทิ้ง

วอศ.ภูเก็ตเปิดประตูสู่โลกอาชีพ ปรับรูปแบบฝึกปฏิบัติ ทำจริง มีรายได้จริง

นายวิทยา เกตุชู ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต เปิดเผยว่า วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต ร่วมกับจังหวัดภูเก็ต และศูนย์อาหาร “ปุ๊นเต๋” ร่วมอนุรักษ์สืบสานอาหารพื้นถิ่นภูเก็ต และสร้างงานสร้างรายได้ให้กับนักเรียน นักศึกษา โดยการปรับรูปแบบใหม่ในฝึกปฏิบัติจริง ในสถานที่จริง มีประสบการณ์จริง มีรายได้ระหว่างเรียน โดยจัดนักเรียน นักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ แผนกวิชาอาหารและโภชนการ สลับกันวันละ 2 คน เพื่อลดความแออัดภายในร้าน และรักษาระยะห่างตามมาตรการ Social Distancing ในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยการฝึกปฏิบัติงานจริง เปิดร้านเปาะเปี๊ยะสด ซึ่งมีไส้เป็นสูตรพื้นเมืองเฉพาะของภูเก็ต โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 25 บาท พร้อมกันนี้นักเรียน นักศึกษา จะได้เรียนรู้และร่วมสืบสานอาหารพื้นถิ่น “ปุ๊นเต๋” ซึ่งเป็นอาหารพื้นถิ่นของเมืองภูเก็ตที่องค์การยูเนสโก (UNESCO) ประกาศให้ภูเก็ตเป็นหนึ่งในสมาชิกเครือข่ายสร้างสรรค์ด้านวิทยาการอาหาร เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2558 มีสมาชิกทั้งหมด 18 เมืองทั่วโลก และจังหวัดภูเก็ตเป็นลำดับแรกในอาเซียน ซึ่งปี 2564 นี้จังหวัดภูเก็ตเตรียมรับการประเมินอีกครั้งเพื่อคงตำแหน่งเป็น 1 ใน 18 เมืองสร้างสรรค์ด้านวิทยาการอาหารของโลกต่อไป

“ ศูนย์อาหาร “ปุ๊นเต๋” ซึ่งเป็นแหล่งรวมอาหารคาวหวานพื้นถิ่นของจังหวัดภูเก็ต ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 101/2, 103ซ.สุ่นอุทิศ ถ.เยาวราช อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยร้านปอเปี๊ยสด วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ตเปิดให้บริการทุกกวัน ร่วมตอบรับการเปิดประเทศโดยแวะมาอุดหนุนฝีมือนักเรียน นักศึกษากันได้ครับ” ผอ.วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ตกล่าว

ผู้ปกครอง 80% วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี ยินยอมให้ลูกเรียนOnsite

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ..อรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าเยี่ยมชมและให้กำลังใจ ครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน นักศึกษา พร้อมทั้งเยี่ยมชมห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ โรงอาหารและการเรียนการสอนในรูปแบบผสมผสาน ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า2019 (COVID-19) วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี

โดย ดร.ศันสนีย์  สายะสนธิ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี  เปิดเผยว่าวันนี้วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี เปิดเรียนภาคเรียนที่ 2/2564 เป็นวันแรก ในรูปแบบ Onsite ซึ่งการเปิดเรียนในครั้งนี้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การเปิดสถานศึกษาภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) และได้จัดทำแผนเผชิญเหตุไว้พร้อมด้วย โดยนักเรียน นักศึกษา ที่มาเรียน On site ต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง จากการสำรวจพบว่านักเรียน นักศึกษา กว่าร้อยละ 80 ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง และต้องผ่านการคัดกรองตนเองตามแบบสอบถาม เพื่อจัดกลุ่มในการเรียน  และ เมื่อมาถึงสถานศึกษา  นักเรียน นักศึกษา หากพบว่ามีนักศึกษาที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง สถานศึกษาจะดำเนินการแยกตัว  เพื่อตรวจคัดกรองอีกครั้งด้วยชุดตรวจ Antigen test kit (ATK)

“ครูโอ๊ะ”ชื่นชม “สาธิตกรุงเทพธนบุรี”เตรียมการเปิดเรียนOnsiteอย่างดี สร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยจากโคววิด  

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ พร้อมด้วย  ดร.กมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ  และน.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ ผู้ช่วยเลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมการเปิดเรียนแบบ Onsite  ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ณ โรงเรียนสาธิตกรุงเทพธนบุรี เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ โดยมี นายประพัทธ์ รัตนอรุณ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(กช.)  และผู้บริหารสำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.) นางณัชชา ชัยรุ่งเรือง ผู้จัดการโรงเรียน นางพรรณี กมลเลิศ ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครู บุคลากร ให้การต้อนรับและนำเยี่ยมชมโรงเรียน

ดร.กนกวรรณ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โดยต้องการสร้างความเชื่อมั่นใจต่อการกลับมาเรียนของนักเรียน ซึ่งรัฐมนตรีและผู้บริหารกระทรวงได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการเปิดเรียนวันแรกในหลายจังหวัด เพื่อเป็นกำลังใจให้โรงเรียน ครู และผู้บริหาร ที่จะกลับมาจัดการเรียนการสอนที่โรงเรียนตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้ความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย รวมทั้งคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัด ที่จะก่อเกิดประโยชน์ทางการศึกษาต่อลูกหลานของเรา และขอให้เราปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข 6 พลัส คูณ 6 มาตรการหลัก DMHT-RC มาตรการเสริม SSET-CQ เพื่อร่วมกันก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน

“จากการตรวจเยี่ยมโรงเรียนสาธิตกรุงเทพธนบุรี  ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชน พบว่า มีการเตรียมความพร้อมการเปิดภาคเรียนที่ 2 เป็นอย่างดี โดยมีการฉีดวัคซีนครูและบุคลากร ร้อยละ 90.8  และฉีดวัคซีนให้นักเรียนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปตามความสมัครใจ ร้อยละ 83.70 มีการประเมินความพร้อมของสถานศึกษาเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ผ่านมาตรฐาน Thai Stop Covid Plus (TSC+) จัดให้มีจุดคัดกรองที่เหมาะสม โดยนักเรียน ครู และบุคลากรทุกคนต้องตรวจด้วยชุดตรวจโควิด-19 แบบเร่งด่วน (Antigen Test Kit : ATK) ในวันเปิดเรียนวันแรก และเป็นประจำทุกสัปดาห์ รวมทั้งการจัดกิจกรรมการเรียนแบบ Small Bubble ที่ช่วยลดเว้นระยะห่างตามมาตรการ 6 พลัส DMHT-RC (อยู่ห่าง สวมแมสก์ หมั่นล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิลดแออัดทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสร่วม) ที่สำคัญคือการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบไฮบริด ระหว่างการเรียนออนไซต์ในห้องเรียนกับการเรียนออนไลน์จากที่บ้านในเวลาเดียวกัน ทำให้นักเรียนไม่สูญเสียโอกาสทางการเรียนรู้”รมช.ศึกษาธิการกล่าว

 

ประกาศรางวัลผลงานวิจัย ในการประชุมวิชาการเทคโนโลยี และนวัตกรรมอาชีวศึกษา ระดับชาติ ครั้งที่ 5

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)  เปิดเผยว่า สถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 1-5 จัดประชุมวิชาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาชีวศึกษา ระดับชาติ ครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 29 – 30 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ผ่านระบบประชุมทางไกล (Video Conference) เพื่อการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างผลงานวิชาการ และแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการของคณาจารย์ นักวิจัยและนักวิชาการ ทั้งยังเป็นการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการสู่สาธารณชน ตลอดจนสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการ และพัฒนาต่อยอดงานวิจัยอันนำไปสู่การพัฒนาประเทศ ในรูปแบบการนำเสนอบทความวิจัยภาคบรรยาย และภาคโปสเตอร์ที่ได้รับการ พิชญพิจารณ์ (Peer Review) คือการประเมินโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีความชำนาญคล้ายกับผู้ผลิตผลงานนั้น เป็นระบบควบคุมกันเองโดยสมาชิกวิชาชีพที่มีคุณสมบัติความสามารถในสาขาที่เข้าประเด็นกัน เป็นวิธีที่ใช้เพื่อรักษามาตรฐานทางคุณภาพ เพื่อเพิ่มคุณภาพ และเพื่อให้เกิดความเชื่อถือในงานภายในกลุ่มนักวิชาการ เป็นวิธีการกำหนดว่างานวิชาการนั้นมีความเหมาะสมควรจะตีพิมพ์ เป็นเรื่องที่จัดหมวดหมู่ได้ตามชนิดของงานหรือตามอาชีพ จากผู้ทรงคุณวุฒิตามประกาศของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) โดยมีบทความวิจัยภาคบรรยาย และโปสเตอร์ร่วมนำเสนอจำนวนทั้งสิ้น 177 บทความ

เลขาธิการกอศ.  กล่าวว่า การประชุมวิชาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาชีวศึกษา ระดับชาติ เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนความรู้เทคโนโลยี และนวัตกรรมอาชีวศึกษา ทำให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาอาชีวศึกษาให้มีความก้าวหน้าในด้านการวิจัย คณาจารย์ นักวิจัย หรือผู้ที่สนใจทั่วไป สามารถนำไปพัฒนาหรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้การศึกษา และงานวิจัยของประเทศมีความเข้มแข็งมากขึ้น ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สนับสนุนให้มีการวิจัย สร้างนวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ และการจัดการองค์ความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกระดับสถาบันการอาชีวศึกษาทั้ง 23 แห่งทั่วประเทศ ในการจัดการอาชีวศึกษาปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือ สายปฏิบัติการ เพื่อผลิตบัณฑิตนักปฏิบัติของสถาบันการอาชีวศึกษา ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญของชาติในยุคประเทศไทย 4.0 ที่ต้องการทรัพยากรบุคคลที่เป็นคนดี คนเก่ง ที่มีความรู้ภาคทฤษฎี และมีความเชี่ยวชาญภาคปฏิบัติ ในการที่จะรังสรรค์ผลงานวิจัยและพัฒนา สร้างนวัตกรรมให้สังคมและ ประเทศชาติในส่วนรวม

โดยมีผลงานที่ได้รับรางวัล ดังนี้ ประเภทที่ 1. กลุ่มประสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมอาชีวศึกษา รางวัลชนะเลิศ จากสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 1 โดยสำนักอาชีวศึกษาบัณฑิต บทความงานวิจัย “สร้างเรือต้นแบบเรือลอกตะกอนแบบตีกวนและดูดกลับ” เพื่อหาประสิทธิภาพต้นแบบเรือลอกตะกอนแบบตีกวนและดูดกลับ ขั้นตอนการดำเนินการวิจัยเริ่มจากการสร้างเรือ และศึกษาหาประสิทธิภาพการลอกตะกอน โดยทดสอบการลอกตะกอนจาก ระดับความลึกที่แตกต่างกัน 3 ระดับ 1.0, 1.5, และ 2.0 เมตร ใช้รอบเครื่องยนต์ที่ 1,500 1,750 และ 2,000 รอบต่อนาที ผลการวิจัย พบว่าเรือลอกตะกอนแบบตีกวนและดูดกลับมี ประสิทธิภาพ ที่ระดับความลึก 1.5 เมตร ความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่ 1, 750 รอบต่อนาทีได้ตะกอนที่ 450 ลูกบาศก์เมตร ต่อชั่วโมง ซึ่งได้ตะกอนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 350 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง รองชนะเลิศอันดับ 1 จากสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 3 โดยวิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี บทความงานวิจัย “การพัฒนาโต๊ะคร่อมเตียงควบคุมแบบไร้สาย” รองชนะเลิศอันดับ 2 จากสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก โดยวิทยาลัยเทคนิคบ้านค่าย บทความงานวิจัย “การพัฒนาระบบสมาร์ทฟาร์มสำหรับการปลูกพืชไร้ดิน” รองชนะเลิศอันดับ 3 จากสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 โดยวิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น บทความงานวิจัย “การผลิตภัณฑ์โจ๊กข้าวกล้องหอมมะลิเสริมจิ้งหรีดผงกึ่งสำเร็จรูป”

ประเภทที่ 2. กลุ่มนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา รางวัลชนะเลิศ จากสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 โดยวิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม บทความงานวิจัย “การพัฒนาสื่อโมชั่นกราฟฟิกเพื่อการเรียนรู้และป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ” เพื่อประเมิน คุณภาพของสื่อโมชั่นกราฟิกในการเรียนรู้และป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบโดยผู้เชี่ยวชาญ และประเมินความคิดเห็นของ กลุ่มผู้สนใจที่มีต่อการพัฒนาสื่อโมชั่นกราฟิก วิธีดำเนินการวิจัย ได้แก่ 1) ศึกษากระบวนการและผลิตสื่อโมชั่นกราฟิกเพื่อการเรียนรู้และป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ 2) ประเมินคุณภาพสื่อโมชั่น กราฟิกเพื่อการเรียนรู้และป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบจากผู้เชี่ยวชาญ และ 3) ประเมินความคิดเห็นของกลุ่มผู้สนใจที่มีต่อสื่อ โมชั่นกราฟิกเพื่อการเรียนรู้และป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ จำนวน 30 คน ผลการวิจัยพบว่าคุณภาพสื่อโดยรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.73 เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่าผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นต่อคุณภาพสื่ออยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ เนื้อหานำเสนอ ประกอบไปด้วย เรื่องโรคหลอดเลือดหัวใจตีบการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ รองชนะเลิศอันดับ 1 จากสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 3 โดยวิทยาลัยเทคนิคนครนายก บทความวิจัย “การหาคุณภาพชุดทดลองไมโครคอนโทรลเลอร์ Arduino Nano ประกอบการเรียนการสอนวิชาไมโครคอนโทรลเลอร์ รหัส 20105-2105 ด้วยการเรียนการสอนแบบ Active Learning” รองชนะเลิศอันดับ 2 จากสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 5 โดยวิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร บทความงานวิจัย “การพัฒนาชุดทดลองและหาประสิทธิภาพของการประยุกต์ใช้โปรแกรมเมเบิลลอจิกคอนโทรลเลอร์ในการควบคุมหุ่นยนต์สถานีการอัดลูกปืน” รองชนะเลิศอันดับ 3 จากสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก โดยวิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี บทความงานวิจัย “การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาด้วยชุดสาธิตเสมือนจริงเรื่องความสัมพันธ์ของการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากของไหล”

ประเภทที่ 3. กลุ่มนวัตกรรมการบริหารจัดการอาชีวศึกษา รางวัลชนะเลิศ จากสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก โดยสำนักอาชีวศึกษาบัณฑิต บทความงานวิจัย “การพัฒนาระบบบริหารจัดการเรียนรู้แบบยูเลิร์นนิ่ง สำหรับการอาชีวศึกษา” เพื่อประเมินความเหมาะสมระบบบริหารจัดการเรียนรู้แบบยูเลิร์นนิ่งสำหรับ การอาชีวศึกษา โดยมีกลุ่มเป้าหมายในการวิจัย ได้แก่ ผู้สอน ระดับปริญญาตรี สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก จำนวนทั้งหมด 45 คน ผลการวิจัย พบว่าผลการประเมินความเหมาะสมระบบบริหารจัดการ เรียนรู้แบบยูเลิร์นนิ่ง สำหรับอาชีวศึกษาและฝึกอบรมของผู้เชี่ยวชาญ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด สามารถนำไปใช้ในการบริหารจัดการเรียนรู้ในสถาบันการอาชีวศึกษาได้เป็นอย่างดี รองชนะเลิศอันดับ 1 จากสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 3 โดยวิทยาลัยอาชีวศึกษาฉะเชิงเทรา บทความงานวิจัย “การพัฒนาการบริหารจัดการของผู้บริหารวิสาหกิจชุมชนในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา” รองชนะเลิศอันดับ 2 จากสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 2 โดยวิทยาลัยเทคนิคลพบุรี บทความงานวิจัย “การศึกษาคุณลักษณะการเป็นผู้ประกอบการที่มีผลต่อความสำเร็จตามความคิดเห็น ของผู้ประกอบการธุรกิจและนักศึกษาหลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิตสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง” รองชนะเลิศอันดับ 3 จากสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 5 โดยวิทยาลัยการอาชีพบางสะพาน บทความงานวิจัย “คุณภาพผู้สำเร็จการศึกษาระบบทวิภาคีตรงความต้องการของสถานประกอบการ” ทั้งนี้สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://ncvet5.lbtech.ac.th/documentpdf/proceeding.pdf