1 พ.ย.เปิดOnsite 2หมื่นโรง “ตรีนุช”ย้ำโรงเรียนต้องปลอดภัยที่สุด เด็กไม่ฉีดวัคซีนไปเรียนได้แต่ต้องเข้มงวดตามมาตรการสาธารณสุข

เมื่อเวลา 7.30 น.วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว. ศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานศึกษาเพื่อติดตามความพร้อมสำหรับการเปิดภาคเรียนที่ 2 และการจัดการเรียนการสอนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19)ที่โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย และโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทรสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร โดย น.ส.ตรีนุช กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยมโรงเรียน ว่า วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียน ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการ เชื่อว่าการเรียนที่ดีที่สุดคือการเรียนOnsite และโควิดก็คงต้องเป็นสถานการณ์ที่เราต้องเผชิญต่อไป การมาตรวจเยี่ยมโรงเรียนวันนี้ก็มาที่โรงเรียนขนาดใหญ่ของจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นจังหวัดที่เคยมีการแพร่ระบาดรุนแรง โดยโรงเรียนได้จัดให้นักเรียนสลับกันมาเรียนตามรูปแบบที่ทางกระทรวงศึกษาธิการวางระบบไว้ ขณะที่ครู และบุคลากรทางการศึกษา ของโรงเรียนก็ได้รับวัคซีนแล้วเกือบ 100% รวมถึงทุกคนในโรงเรียนที่อยู่รอบตัวนักเรียนก็ได้รับวัคซีนแล้ว ส่วนนักเรียนก็ฉีดวัคซีนเข็ม 2 กันแล้ว ที่สำคัญได้เน้นย้ำมาตรการความปลอดภัยต่าง ๆ อย่างเข้มงวด การรักษาระยะห่าง การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือ รวมถึงการเตรียมแผนเผชิญเหตุให้พร้อมด้วย หากมีเด็กหรือคนในโรงเรียนมีอาการก็ต้องมีมาตรการดูแล ทั้งนี้เพื่อให้การเปิดโรงเรียนอยู่ภายใต้ความปลอดภัยที่สุด

ด้าน ดร.อัมพร กล่าวว่า จากการรับรายงานตั้งแต่เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม โรงเรียนได้มีการเตรียมความพร้อมการเปิดภาคเรียนทุกโรงเรียนทั่วประเทศ โดยเป็นการเปิดแบบOnsite ประมาณ 20,000 กว่าโรง และมีโรงเรียนบางส่วนที่ทางจังหวัดอนุมัติให้เปิดแบบOnsite ในวันที่ 15 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ขณะเดียวกันโรงเรียนก็ได้เตรียมความพร้อมโดยการทำความเข้าใจกับผู้ปกครองและนักเรียนว่าต้องปฏิบัติตนอย่างไร ทั้งระหว่างการเดินทางมาโรงเรียน และเมื่อถึงโรงเรียนแล้วต้องทำอย่างไร โดยให้ยึดตามมาตรการการปฏิบัติตนอย่างเข้มงวด ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า สำหรับวันนี้ได้มาที่โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย เพื่อดูว่าที่ออกแบบบไว้ปฏิบัติไว้เมื่อปฏิบัติจริงเป็นอย่างไร เพราะสิ่งที่เป็นห่วงที่สุดคือ ครูและนักเรียนต้องปลอดภัย เพราะฉะนั้นถ้าปฏิบัติได้อย่างเข้มข้นและปลอดภัยเราก็จะสามารถเปิดเทอมแบบOnsiteได้อย่างทั่วถึงกันทั่วประเทศต่อไป อย่างไรก็ตามวันนี้โรงเรียนที่เปิดOnsiteเต็มรูปแบบ จะเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่อห้องไม่เกิน 25 คน แต่สำหรับโรงเรียนขนาดใหญ่ยังต้องใช้รูปแบบผสมผสาน เพราะถ้าเปิดOnsite 100% จะทำให้นักเรียนเกินห้องละ 25 คน ดังนั้นเด็กยังคงต้องสลับกันมาเรียน โดยอาจจะสลับเป็นเลขคู่ เลขคี่ หรือสลับชั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบทของโรงเรียน ตอนนี้เราไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องเปิดOnsite 100%เท่าไหร่ เพียงแต่ต้องการให้เปิดมากที่สุดและปลอดภัยที่สุด


“เรื่องการฉีดวัคซีนเฉพาะพื้นที่สีแดงและสีแดงเข้ม มีข้อกำหนดว่าครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องได้รับวัคซีน 85% ซึ่งเราเข้มงวดกับมาตรการนี้มากหากครูและบุคลากรฉีดไม่ถึง 85% ไม่อนุญาตให้เปิดแน่นอน ส่วนของนักเรียนไม่มีเงื่อนไขว่าต้องฉีดก่อนถึงจะมาเรียนที่โรงเรียนได้ แต่เราก็จะรณรงค์ให้นักเรียนและผู้ปกครองฉีดเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด ดังนั้นขอย้ำว่าในส่วนของนักเรียนที่มาโรงเรียน ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน และถึงแม้เด็กจะฉีดวัคซีนแล้วแต่ถ้าผู้ปกครองเห็นว่ายังไม่ปลอดภัยก็อนุโลมให้เด็กเรียนด้วยวิธีอื่นได้ เพราะฉะนั้นกรณีของนักเรียนเราเน้นที่ความสมัครใจและความปลอดภัยเป็นหลัก”ดร.อัมพรกล่าวและว่า สำหรับการเรียนการสอนในช่วง 2 สัปดาห์แรกได้เน้นไปแล้วว่าจะไม่เน้นเรื่องวิชาการ แต่ให้เน้นการเรียนรู้ว่าจะอยู่กับโควิด-19ให้ปลอดภัยได้อย่างไร ซึ่งจะทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพได้มากกว่า และที่สำคัญหลังจากนี้ถ้ามีนักเรียนเจ็บป่วยหรือติดโควิดทุกเราก็มีแผนเผชิญเหตุรองรับและพร้อมปิดห้องเรียนทันที


นายภูธเนศ อุทัยรัตน์ นักเรียน ชั้น ม.4 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย กล่าวว่า รู้สึกทั้งตื่นเต้นและกังวล เพราะต้องปรับตัว เนื่องจากทิ้งการเรียนในห้องเรียนมาค่อนข้างนาน และการมาโรงเรียนเทอมนี้เราต้องมีความระมัดระวังและมีความรอบคอบในการใช้ชีวิตมากขึ้น แต่ถ้าเรามีสติตลอดเวลาเราก็ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ทั้งนี้ทางโรงเรียนได้สลับ ให้นักเรียนมาเรียนเป็นกลุ่มAและกลุ่มB

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าโรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย มีนักเรียนทั้งหมด 3,034 คน มีครู 157คน

 

ก.ค.ศ.เตรียมหารือเกณฑ์คัดผู้บริหารสถานศึกษารูปแบบใหม่ ก่อนทดลองใช้ในพื้นที่นวัตกรรม

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 รศ.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุม ก.ค.ศ.ที่มี น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาสมรรถนะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนการคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ดำเนินการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565-2566 นั้น ถือเป็นการเปลี่ยนกรอบแนวคิด การคัดเลือกผู้บริการสถานศึกษาใหม่ จากเดิมที่ใช้วิธีการสอบคัดเลือก แล้วเข้าสู่กระบวนการอบรมพัฒนาก่อนรับการบรรจุแต่งตั้ง มาเป็นการพัฒนาสมรรถนะ 4 ขั้นตอน คือ การ Screening โดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะเป็นครู นักเรียนและผู้ปกครองประเมินผู้ที่มีความเหมาะสม เข้ารับการอบรมพัฒนา หรือ development ถึงจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือก จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกหรือ Selection ซึ่งอาจต้องใช้หลายวิธี ไม่ใช่การสอบเพียงอย่างเดียว ก่อนเข้าสู่การทดลองงาน หรือ Probation

 

“ที่ประชุมได้มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างกว้างขวาง โดยหลักการใหญ่ ๆ ที่สำนักงาน ก.ค.ศ.เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาคือ ขณะนี้โลกมีการเปลี่ยนแปลง การศึกษามีการพัฒนาเดินไปข้างหน้า เช่นเดียวกับคนและองค์ความรู้ที่ไม่เหมือนเดิม ดังนั้นหากคัดเลือกผู้บริหารสถานศึกษาในรูปแบบเดิม ก็อาจไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งในต่างประเทศ ไม่มีใช้ระบบการสอบเช่นเดียวกับประเทศไทยแล้ว สำนักงาน ก.ค.ศ.จึงเห็นว่าควรต้องยกเลิกการคัดเลือกผู้บริหารในรูปแบบเดิมและเปลี่ยนใหม่ ซึ่งตรงนี้ยังเป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการคัดเลือกผู้บริหารสถานศึกษา โดยจะทดลองนำร่องในโรงเรียนพื้นที่นวัตกรรมก่อน เพื่อทดลองระบบดูความเชื่อมั่น และความเที่ยงตรงในการดำเนินการ หากประสบความสำเร็จ สามารถคัดเลือกผู้บริหารสถานศึกษาที่มีคุณภาพได้แล้ว จึงจะมาจัดทำหลักเกณฑ์ใหญ่เพื่อประกาศใช้ทั่วประเทศต่อไป ส่วนจะนำร่องในโรงเรียนพื้นที่นวัตกรรมจำนวนกี่แห่งนั้น ยังไม่สามารถตอบได้ ต้องหารือกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)อีกครั้ง เพื่อกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจน”เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าว

 

รศ.ประวิต กล่าวด้วยว่า สำหรับคุณสมบัติผู้ที่จะเข้ารับการประเมินเพื่อเป็นผู้บริหารสถานศึกษานั้น เบื้องต้นจะต้องมีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานตำแหน่งที่กำหนด จึงจะสามารถเข้ารับการคัดเลือกในขั้นตอนแรกหรือเข้าสู่กระบวนการ Screening ทั้งนี้ หากได้รับการคัดเลือกแล้วไม่ผ่านขั้นตอนการอบรมและพัฒนา ก็ต้องยอมรับความจริงและกลับไปพัฒนาตัวเอง เช่น ทะเลาะกับเพื่อนผู้บริหารด้วยกัน ก็อาจถูกประเมินว่าไม่เหมาะสม จะเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ส่วนจะมีการกลั่นแกล้งกันหรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่าผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องได้รับการยอมรับ ไม่ใช่ตำแหน่งที่ทุกคนจะมาเป็นได้ แต่ต้องเป็นคนที่พร้อมทำงาน เพื่อให้ได้ผู้บริหารยุคใหม่เข้ามาพัฒนาการศึกษา

ศธ.เผยภาพรวมฉีดวัคซีนไฟเซอร์นักเรียน นักศึกษา ล่าสุดก่อนเปิดเทอม 2 แล้ว 74.16%

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2564 ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยข้อมูลภาพรวมจำนวนนักเรียนที่รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ว่า ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 30 ต.ค.2564 จำนวนนักเรียนนักศึกษาอายุ 12 ปีขึ้นไป โดยเป็นนักเรียน ชั้น ป.6 ม.1-6 นักศึกษา ปวช.1-3 และ ปวส.1-2 ที่ประสงค์รับวัคซีนโควิด 19 ทั่วประเทศ จำนวน 3,820,489 คน ฉีดวัคซีนแล้ว 2,833,447 คน คิดเป็น 74.16% โดยแยกเป็น ภาคใต้ ฉีดแล้ว 72.92%(445,781 คน) ภาคเหนือ ฉีดแล้ว 67.34% (235,971 คน) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ฉีดแล้ว 76.30% (889,131คน) ภาคตะวันออก ฉีดแล้ว 60.28% (188,166 คน) ภาคตะวันตก ฉีดแล้ว 80.06% (194,636 คน) และ ภาคกลาง ฉีดแล้ว 77.41% (918,5768คน )

“อาชีวะอุบล”ชวนชม “หอศิลป์ราชธานีศรีวนาไล” แหล่งเรียนรู้ระดับท้องถิ่นสู่ศิลปินระดับโลก

คุณค่าของหลักฐานทางประวัติศาสตร์อาทิ  โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ศิลปะสถาปัตยกรรม ฯลฯ ล้วนแต่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศชาติเป็นอย่างมาก โดยถือเป็นเป็นทรัพยากรทางวัฒนธรรมประเภทหนึ่งที่มนุษย์ใช้สติปัญญาและความรู้ความสามารถสร้างขึ้น สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเป็นมาและการดำเนินชีวิตในช่วงเวลาแต่ละยุคสมัยที่มีลักษณะเฉพาะทางกายภาพของผู้คนในแต่ละชุมชน สังคม ที่แตกต่างกันออกไป จึงก่อให้เกิดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ต้องอนุรักษ์ไว้ให้คงสภาพตามความเป็นอยู่เดิมให้มากที่สุด เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับชนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้า  เรียนรู้ และนำไปถ่ายทอดให้กับคนในรุ่นต่อไป ดังพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ว่า “งานด้านการศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมนั้น เป็นงานสร้างสรรค์ความเจริญทางปัญญาและทางจิตใจ ซึ่งเป็นทั้งต้นเหตุ และองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ของความเจริญด้านอื่นทั้งหมด และเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้เรารักษา และดำรงความเป็นไทยไว้ได้สืบไป”

จากคณะผู้บริหาร ครู คณะวิชาศิลปกรรม รุ่นบุกเบิกที่มองการณ์ไกล ได้ส่งเสริมและสร้างแรงบันดาลใจให้กับครู นักเรียน นักศึกษา อย่างน่าชื่นชม ด้วยการจุดประกายแนวคิด สร้างแหล่งเรียนรู้จากพื้นที่เล็กๆ เติบใหญ่เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญระดับภาคอีสานและระดับประเทศ ที่จะขอเชิญชวนทุกๆ ท่านที่เข้ามาเมืองอุบลราชธานี ได้แวะมาเยี่ยมเยือนชม หอศิลป์ราชธานีศรีวนาไล ณ วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี

หอศิลป์ราชธานีศรีวนาไล วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี แหล่งเรียนรู้ที่สำคัญอีกแห่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายใต้การบริหารงานโดย นางลฏาภา แสวงทรัพย์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี คนปัจจุบัน  เดิมชื่อศูนย์ศิลปวัฒนธรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นหอศิลป์ราชธานีศรีวนาไล  ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2523  เป็นสถานที่รวบรวม จำลองเก็บรักษาโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของชาวอีสานที่จัดตั้งโดยคณะครู คณะวิชาศิลปกรรม โดยการสนับสนุนของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี นับจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน

นายอำนวย วรพงศธร อดีตข้าราชการครู คณะวิชาศิลปกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานีหนึ่งในครูผู้บุกเบิกหอศิลป์ราชธานีศรีงนาไล เล่าว่า “ตนได้มีโอกาสเดินทางและสอนหนังสือในวิชาศิลปะพื้นบ้าน เดินทางตามชนบทในหมู่บ้านต่างๆ ทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัดในภูมิภาคอีสาน แล้วไปพบผลงานที่มีเอกลักษณ์ของท้องถิ่นเป็นศิลปกรรมที่น่าเก็บรักษาไว้ เนื่องจากสิ่งของเหล่านั้นไม่ได้รับการดูแล มีแต่จะชำรุดทรุดโทรมหักพังไป พระสงฆ์ไม่ได้ดูแล เกิดความเสียดาย  ชาวบ้านมองเป็นสิ่งของที่ไร้ค่า ตนจึงได้ไปขอซากศิลปะที่หักพังเหล่านั้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อนำมาเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ให้นักเรียน นักศึกษาได้หาความรู้จากผลงาน และเก็บไว้เพื่อสืบสานความเป็นวัฒนธรรมอีสานให้คงอยู่ พบว่าชาวบ้านและพระสงฆ์ได้ตอบสนองดีมากได้ให้โดยง่ายอาจเป็นเพราะเจตนารมณ์ของการนำไปนั้นเพื่ออนุรักษ์และสืบสานไม่ได้นำไปเป็นสมบัติส่วนตัว”

“ทั้งนี้ผลงานศิลปวัฒนธรรมที่ได้รับการบริจาค ส่วนใหญ่แล้วพบมากที่บริเวณบ้านชีทวน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่เจริญมาก ส่วนใหญ่ลักษณะของผลงานสามารถจำแนกได้จากที่มาของผลงาน คือจัดแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คืออยู่ที่วัดและอยู่ที่บ้าน อยู่ที่วัดคือ เป็นเรื่องของศาสนา เช่น ส่วนประกอบ องค์ประกอบของ สถาปัตยกรรม ข้าวของเครื่องใช้ในพระศาสนา เช่น หีบพระธรรม ตู้พระธรรม ฮางฮดน้ำ เป็นต้น รวมถึงคณะครูในคณะวิชาศิลปกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์เดียวกัน ก็รวมพลังช่วยกันรวบรวม จัดหา และสำรวจผลงานศิลปกรรมในแต่ละแห่งในแต่ละท้องที่ตามหมู่บ้านและวัดวาอารามในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและพื้นที่ใกล้เคียงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วนำมาจัดแสดงในห้องแสดงผลงาน ในสมัยนั้น จนกลายมาเป็นศูนย์ศิลปวัฒนธรรม และหอศิลป์ราชธานีศรีวนาไล ในปัจจุบัน”

นายประสิทธิ์ สุรศิลป์  อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี ผู้มีส่วนสนับสนุนการก่อตั้งหอศิลป์ราชธานีศรีวนาไล กล่าวถึงหอศิลป์ราชธานีศรีวนาไลแห่งนี้ว่า “การจัดการเรียนการสอนด้านศิลปกรรมนั้น หากนักศึกษาได้มีโอกาสศึกษางานศิลปะท้องถิ่นควบคู่ไปกับศิลปะสากล ย่อมก่อให้เกิดผลดีต่อการพัฒนาด้านศิลปะของนักเรียน นักศึกษา การที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี โดยคณะศิลปกรรม ได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ศิลป์วัฒนธรรมขึ้นภายในสถานศึกษา โดยรวบรวมผลงานศิลปะ โบราณวัตถุ อุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีอยู่ในท้องถิ่น ในจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดใกล้เคียง ใช้เวลารวบรวมอันยาวนานกว่า 30 ปี นำมาจัดหมวดหมู่แสดงไว้ในศูนย์ศิลปวัฒนธรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี นับเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง ต่อนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป เป็นสื่อการเรียนการสอนที่ดีมากและหาได้ยากยิ่ง รวมทั้งเสริมสร้างจิตสำนึกให้เยาวชนรุ่นใหม่เกิดความรักหวงแหนและภาคภูมิใจในศิลปวัฒนธรรมในท้องถิ่นของตนอีกด้วย”

นอกจากนี้หากกล่าวถึงคุณค่าของโบราณวัตถุของหอศิลป์ราชธานีศรีวนาไล วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผ่านงานวิจัย “เรื่องเล่าหอศิลป์ราชธานีศรีงนาไล” โดยนางมนฤดี สุวรรณกูฏ ครูวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี ผู้วิจัย พบว่า หอศิลป์ราชธานีศรีวนาไล  มีโบราณวัตถุที่เป็นของมีค่าและมีความสำคัญจนกรมศิลปากร ได้เข้ามาสำรวจ ในปี 2554 และในปี 2558 ตามโครงการ “สำรวจขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุในความครอบครองของวัดและเอกชน” เพื่อรอการประกาศจากราชกิจจานุเบกษาอย่างเป็นทางการ การสำรวจครั้งนั้นมีโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ได้รับจากจดบันทึกและขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากรเพื่อรอการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ในปี 2554  จำนวนโบราณวัตถุและศิลปวัตถุเป็นศิลปะสกุลช่างท้องถิ่นอีสาน 8 รายการ ได้แก่ ธรรมมาสน์ 3 รายการ และตู้พระธรรมลายรดน้ำ 5 รายการ

จากนั้นในปี 2558  มีจำนวนโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ 63 รายการ รวมโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่ขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากรจากการสำรวจทั้ง 2 ปี เพื่อรอประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีจำนวนทั้งสิ้น 71 รายการ และจาก 71 รายการนี้ พบว่ามีโบราณวัตถุและศิลปวัตถุที่ได้รับการประกาศจากรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ ลงในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 132 ตอนพิเศษ 162 ง ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 มีจำนวนเพิ่มอีก 4 รายการ เป็นศิลปะรัตนโกสินทร์ ฝีมือช่างพื้นถิ่น พุทธศตวรรษที่ 24-25 ชนิดไม้ลายรดน้ำ ได้แก่ ธรรมมาสน์  1 รายการ และตู้พระธรรม 3 รายการ

ทั้งนี้ในแต่ละรายการล้วนมีคุณค่าและความสำคัญ คือ 1.เป็นโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุที่มีคุณค่าทางด้านศิลปะ ประวัติศาสตร์และโบราณคดี 2.มีคุณค่าความสวยงามเป็นพิเศษหรือแสดงเอกลักษณ์ฝีมือท้องถิ่นโดยเฉพาะ และ 3.เป็นโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุที่มีคุณค่าทางศิลปกรรม เป็นแบบอย่างทางฝีมือช่างศิลปะให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้

นอกจากนี้หอศิลป์ราชธานีศรีวนาไล ยังจัดแบ่งพื้นที่อีกส่วนภายในหอศิลป์ฯ ไว้จัดแสดงผลงานนักเรียน นักศึกษา  ครู คณะวิชาศิลปกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี รวมถึงกลุ่มศิลปินอิสระและหน่วยงานภาครัฐและเอกชน นำมาจัดแสดงให้เยาวชนและประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานีและภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้เรียนรู้ ศึกษาผลงาน ด้านศิลปะเกือบทุกแขนงหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามวาระและโอกาสอันสำคัญอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี  อาทิ นิทรรศการศิลปินแห่งชาติ  นิทรรศการภาพถ่ายเทียนพรรษา  นิทรรศการบัวหลวง นิทรรศการศิลปินลุ่มน้ำโขง นิทรรศการภาพถ่ายประเพณีแห่เทียนพรรษา และประติมากรรมเทียนนานาชาติ นิทรรศการแต้มสีที่ผาแต้ม นิทรรศการกลุ่มศิลปินศิลป์ศรีวนาไล เป็นต้น

ปัจจุบัน หอศิลป์ราชธานีศรีวนาไล เปิดให้บริการแก่ทุกท่านเพื่อเดินทางเข้าศึกษาดูงานทั้งแบบทั่วไปและหมู่คณะ ทั้งนี้เพื่อให้สถานที่ดังกล่าวแหล่งเรียนรู้ที่ บ่มเพาะต้นกล้าด้านศิลปะ จุดประกายแนวคิดระดับท้องถิ่นสู่การสร้างศิลปินระดับโลก และให้ได้รับการเผยแพร่สร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานและสืบสานวัฒนธรรม มรดกของชาติไทยอันดีงามให้คงอยู่สืบไป

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดอื่นๆเพิ่มเติมหรือแจ้งความประสงค์ขอเข้าชมหอศิลป์ราชธานีศรีวนาไลได้ที่  วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี หมายเลขโทรศัพท์ 065-6516577 ในวันและเวลาราชการ

กรมสมเด็จพระเทพฯ พระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 4 ทรงย้ำครูมีความสำคัญในช่วงสถานการณ์โควิด-19

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 4 ปี 2564 และพระราชทานปาฐกถาพิเศษ เนื่องในการประชุมวิชาการระดับภูมิภาคเพื่อครูและความเสมอภาคทางการศึกษา ในหัวข้อ การทรงงานในการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  (COVID-19) และการพัฒนาครูและสถานศึกษาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ซึ่งเป็นการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำรัสเนื่องในพิธีพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 4 ปี 2564 ว่า ขอแสดงความยินดีกับครูผู้ได้รับรางวัล ซึ่งถือครูผู้อุทิศตนที่ช่วยในการพัฒนาเด็กเยาวชนเพื่อให้ประเทศและภูมิภาคเรามีอนาคตที่ดีขึ้น และรู้สึกดีใจที่พิธีพระราชทานรางวัลในครั้งนี้จัดขึ้นพร้อมกับการประชุมวิชาการระดับภูมิภาคที่เน้นบทบาทที่สำคัญของครูที่จะสร้างการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งการพัฒนาคนรุ่นใหม่จะเป็นจริงได้อยู่ที่ครู เพราะครูต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ช่วยให้เกิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) แต่ครูยังเป็นปัจจัยสำคัญทำให้นักเรียนมีความพร้อมสำหรับอนาคต ทุกวันนี้ครูได้รับผิดชอบในการปรับตัวตามสถานการณ์ New Normal โดยครูต้องพยายามอย่างยิ่งเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่องในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และมีสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี

นอกจากนี้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปาฐกถาพิเศษเนื่องในการประชุมวิชาการระดับภูมิภาคเพื่อครูและความเสมอภาคทางการศึกษา ในหัวข้อ การทรงงานในการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) และการพัฒนาครูและสถานศึกษาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า ในสถานการณ์โควิด-19 พวกเราควรพยายามให้ความมั่นใจได้ว่านักเรียนมีสุขภาพที่ดีและปลอดภัย ในสถานการณ์เช่นนี้นักเรียนสามารถเรียนทางออนไลน์แต่อาจไม่สะดวกโดยเฉพาะนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล จึงอยากแลกเปลี่ยนกรณีองค์กรภาคประชาสังคมที่สามารถทำอะไรได้บ้าง เช่น การจัดหาถุงยังชีพ ในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคกลาง เดิมเป็นอุปกรณ์ยังชีพจึงมีแนวคิดว่าน่าจะมีแบบฝึกหัด อุปกรณ์การเรียนให้กับนักเรียน ซึ่งเรียกว่า ถุงยังชีพเพื่อการศึกษา โดยมีครู อาสาสมัคร และพระนำของเหล่านี้ให้กับนักเรียนที่บ้าน ในสถานการณ์โควิด-19 ข้าพเจ้าได้เพิ่มหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ แบบฝึกหัด สมุดให้กับนักเรียน รวมถึงการใช้ศาลากลางเปรียญเป็นศูนย์กลางกระจายอาหารเพื่อให้ครอบครัวไปรับ ในความคิดของข้าพเจ้า นักเรียนต้องได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่ และได้รับสารไอโอดีนและธาตุเหล็กเพื่อดูแลสุขภาพในทุกช่วงวัย นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียในการพัฒนาการศึกษา

“ แม้จะมีสถานการณ์โควิดแต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป และหลังจากสถานการณ์โควิด ชีวิตอาจจะไม่เหมือนเดิมไม่เฉพาะนักเรียนเท่านั้นแต่รวมถึงประชาชนควรจะต้องศึกษาหาความรู้และทักษะใหม่ ๆ ในการประกอบการอาชีพและในการศึกษาในยุค New Normal ข้าพเจ้าสังเกตว่ามีนวัตกรรมการเรียนรู้แบบใหม่เข้ามา หากเรายังไม่สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ได้ เราควรใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเหล่านี้ สิ่งสำคัญคือ เราควรจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ และเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เราสร้างและประดิษฐ์ และจะใช้นวัตกรรมเหล่านั้นเพื่อพัฒนาสังคมต่อไป ที่สำคัญคือการหาวิธีเพื่อรักษาตัวเองและผู้อื่นให้ปลอดภัยจากโควิด-19 เราต้องปกป้องตนเองและผู้อื่น”

น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า การศึกษาทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงจากสถานการณ์โควิด-19 และโรงเรียนต้องมีวิธีการจัดการในรูปแบบใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เปลี่ยนไป จึงมีการนำวิธีการเรียนการสอน เช่น ออนแอร์ผ่านมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม  ออนไลน์ ออนไซต์ ออนดีมานด์ และออนแฮนด์  ทั้งนี้เราไม่อาจปล่อยให้โรงเรียนปิดต่อไปได้อีก กระทรวงศึกษาธิการได้วางแผนที่จะเปิดเรียนเต็มรูปแบบในเดือนพฤศจิกายน และได้มีการฉีดวัคซีนโควิด -19 ให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษา และครูทั่วประเทศแล้วเพื่อเตรียมพร้อมให้เปิดเรียนออนไซต์ได้อย่างปลอดภัย พร้อมการพัฒนาครูผู้สอนให้มีทักษะจำเป็นในการบรรลุศักยภาพสูงสุด ซึ่งเราเชื่อว่าครูคือหัวใจในการฟื้นฟูระบบการศึกษาและมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนทางสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม

ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานกรรมการมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี กล่าวว่า รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี เป็นรางวัลเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติครูผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกศิษย์ และมีคุณประโยชน์ต่อการศึกษาในประเทศอาเซียนและติมอร์ เลสเต รวม 11 ประเทศ ประเทศละ 1 รางวัล โดยจัดมอบรางวัลในทุก 2 ปี และเพื่อถวายเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เจ้าฟ้านักการศึกษา โดยรางวัลประกอบด้วย เหรียญรางวัล ประกาศนียบัตร โล่ เข็มเชิดชูเกียรติทองคำ และเงินรางวัล รางวัลละ 10,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ จาก 11 ประเทศ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง

สำหรับครูผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ปี 2564 มีประวัติที่น่าสนใจดังนี้

  1. บรูไน ดารุสซาลาม เปองีรัน ฮาจี โมฮัมหมัด วาฮับ บิน เปองีรัน ฮาจี อับดุลละฮ์ เป็นอาจารย์สอนด้านการโรงแรมและการทำอาหาร วิทยาลัยด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว วิทยาเขตไอบีทีอี สุลต่านไซฟุล ไรจัล (IBTE Sultan Saiful Rijal Campus) งานร้านอาหาร การจัดเลี้ยง และการประกอบอาหารอย่างสร้างสรรค์
  2. กัมพูชา นายณอน ดารี สอนระดับประถมศึกษาที่โรงเรียน Quach Mengly Toulbeng, จังหวัด Kampong Cham  ผู้ริเริ่มประยุกต์ใช้การบูรณาการเรียนการสอนหลากหลายวิธีการเพื่อมุ่งช่วยให้นักเรียนได้รับความรู้และทักษะสำคัญที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 และเน้นแนวทางการสอนโดยให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง
  3. อินโดนีเซีย น.ส.คอรีอิยะฮ์ สอนวิชาวิทยาศาสตร์โรงเรียนประถมศึกษา SMP Negeri 32 Bandar Lampung จังหวัดลำปุง นับเป็นครูผู้โดดเด่นด้านการสอนวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ที่ครูได้จัดการผลิตสิ่งพิมพ์ด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์และเครื่องมือการเรียนรู้มากมายสำหรับโรงเรียนในอินโดนีเซีย
  4. สปป. ลาว นางแสงเพ็ด คูนปะเสิด หัวหน้าสาขาวิชาฟิสิกส์แห่งโรงเรียนมัธยมสมบูรณ์เทศบาลแขวงอุดมไซ ร่วมพัฒนาหลักสูตรการสอนวิชาฟิสิกส์สำหรับระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และเผยแพร่สื่อให้กับโรงเรียนอีก 14 โรง ในแขวงอุดมไซ รวมทั้งเป็นวิทยากรระดับจังหวัดในวิชาวิทยาศาสตร์และมีงานเขียนเอกสารทางวิชาการมากมาย
  5. เมียนมา นายจอร์ ซิน ออง ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ โรงเรียนมัธยมศึกษา Basic Education High School หมายเลข 8 ที่เมือง ล่าเสี้ยว (Lahio) ทางตอนเหนือของรัฐฉาน ครูผู้เป็นแบบอย่างและใช้การเรียนรู้จากประสบการณ์ร่วมกับนักเรียนเพื่อช่วยให้นักเรียนเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างเข้าใจและสนุก
  6. มาเลเซีย นายโนร์ฮาอิลมี อับดุล มูตาลิบ ครูสอนวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนมัธยมศึกษา SMK Jerlun ในรัฐเคดาห์ ผู้เป็นต้นแบบขยายประสบการณ์การสอน อย่างสร้างสรรค์ในวิชาสะเต็มศึกษา ระดับประเทศและแนวทางการเรียนรู้สำหรับศตวรรษที่ 21 ทั้งยังบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลและเครือข่ายสังคมออนไลน์มาประยุกต์ใช้กับการสอนของตนเอง
  7. ฟิลิปปินส์ นายมาเซโล ที โอทินเควท ครูใหญ่ของโรงเรียน Governor Bado Dangwa Agro-Industrial School ในเมืองกะพันกัน (Kapangan) จังหวัดเบงเก็ต (Benguet) ผู้ดำเนินชีวิตภายใต้ปรัชญา “ชีวิตคือการให้บริการ” เป็นผู้นำในการริเริ่มโครงการพัฒนาโรงเรียนและชุมชนต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่
  8. สิงคโปร์ นายหยก จูน เม็ง หัวหน้าภาควิชาภาษาอังกฤษและสังคม โรงเรียนประถมศึกษาหยูเหิง โดยนำ ICT เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ บูรณาการการคิดและวิเคราะห์ การใช้ Coding และมีการทำแผนภาพการใช้ ICT บูรณาการกับโครงการต่าง ๆ ของโรงเรียน
  9. เวียดนาม น.ส.ฮ่า หัน เฟื่อง ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษที่โรงเรียนมัธยมศึกษา Huong Can จังหวัด Phu Tho พัฒนาการเรียนการสอนแบบห้องเรียนไร้พรมแดนให้เด็กนักเรียนบนพื้นที่สูงและเด็กชนเผ่า และบูรณาการวิชาภาษาอังกฤษเข้าไปในการเรียนการสอน เชื่อมโยงกับสังคมยุคใหม่ด้วยแนวคิดการเป็นพลเมืองโลก
  10. ประเทศไทย น.ส.ประทิน เลี่ยนจำรูญ ครูอาชีวศึกษาผู้สอนวิชาการตลาดและเศรษฐศาสตร์ ระดับ ปวช.วิทยาลัยเทคนิคพังงา จังหวัดพังงา มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านการเขียนแผนธุรกิจ เป็นที่ปรึกษาธุรกิจของผู้เรียนอาชีวศึกษาได้รับรางวัลระดับประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการ “บางพัฒน์โฮมสเตย์” ที่ดำเนินการประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
  11. ติมอร์-เลสเต นายวินเซ็นเต มาร์กัล ดา ซิลวา ครูใหญ่ของโรงเรียน Ensino Central Tirilolo Baucau ตลอดอาชีพการงานของครูใหญ่วินเซ็นเต  ได้มีส่วนร่วมสำคัญในหลายโครงการที่ส่งเสริมการศึกษาในติมอร์-เลสเต

“ครูเหน่ง”ไม่ทิ้งสอบวิชาเอกรับตั๋วครู ให้เวลาคุรุสภาปรับระบบ 2 ปี ไม่”ง้อ”สทศ.ทำข้อสอบแล้ว

เมื่อวันที่ 29 ต.ค.2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการคุรุสภา วันนี้  ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่าง ประกาศคณะกรรมการคุรุสภา เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู (ฉบับที่ 2) พ.ศ. … ตามที่ สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาเสนอ โดยเนื้อหาสาระสำคัญของ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการคุรุสภาฯ ที่แก้ไข ยังกำหนดให้สอบวิชาเอก ในการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ตามมาตรฐานวิชาชีพอยู่ โดยกำหนดใหม่ ว่า สมรรถนะทางวิชาชีพครู ประกอบด้วย (ก) ความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ตามมาตรฐานวิชาชีพครู ได้แก่ (1) วิชาชีพครู (2) วิชาการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร (3) วิชาการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (4) วิชาการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา (5) วิชาเอก ตามที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด พร้อมกับเพิ่มเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการดำเนินการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ เกี่ยวกับการสอบวิชาเอก ใน ร่าง ประกาศคณะกรรมการคุรุสภาฯ โดยกำหนดใน ข้อ 12 ให้มีการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครู ด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ตามมาตรฐานวิชาชีพครู ตามข้อ (7) (ก) (5) เมื่อคุรุสภาปรับปรุงระบบการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และการรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา ให้เชื่อมโยงกับวิชาเอกที่จะดำเนินการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพครูต่อไป

น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมองว่าหลักการของการสอบวิชาเอกนั้นดี แต่ขณะนี้ทางคุรุสภายังไม่มีความพร้อม โดยที่ประชุมให้เวลาคุรุสภาไปพัฒนาระบบ 2 ปี ในการจัดทำระบบรองรับการสอบวิชาเอก ดังนั้นในการสอบเพื่อขอรับใบอนุญาตฯ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2565 จะไม่มีการสอบวิชาเอก จนกว่าคุรุสภาจะพัฒนาระบบได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นภายใน 2 ปีนี้คุรุสภาจะต้องไปจัดทำระบบเพื่อรองรับการสอบวิชาเอก

ดร.ดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า คุรุสภาจะใช้เวลา 2 ปี ในการปรับระบบเพื่อให้มีความพร้อมในการสอบวิชาเอก ซึ่งการสอบวิชาเอก จะต้องพร้อมทั้งหน่วยผลิตคือมหาวิทยาลัย และผู้เรียนต้องรับทราบล่วงหน้า อีกทั้งระบบต่างๆ ต้องเป็นที่ยอมรับของสังคม โดยเฉพาะการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และการรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษา ที่ต้องปรับใหม่ทั้งหมด และการทดสอบเพื่อขอรับใบอนุญาตฯ จะเปลี่ยนรูปแบบใหม่เช่นกัน  คือการสอบจะเป็นรูปแบบดิจิทัลทั้งหมด และคุรุสภาจะเป็นผู้จัดทำข้อสอบเอง จะไม่จ้างสถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)ทำข้อสอบแล้ว

ศธ.เร่งประเมิน ตรวจสอบการทำงานของส่วนราชการเชิงรุก ตามดูการเรียนการสอนรูปแบบ Active Learning ด้วย

เมื่อวันที่ 29 ต.ค.2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.)เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการติดตามตรวจสอบและประเมินการจัดการศึกษาของ กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำกลไกการตรวจราชการ และการติดตามประเมินผล มาใช้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาการศึกษา ซึ่งได้เน้นย้ำที่ประชุม 2 เรื่อง คือ ต้องทำให้กลไกการตรวจติดตามเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยปรับเปลี่ยนระยะเวลาการประชุมคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบและประเมิน ทุก 3 เดือน เพื่อติดตามงานให้รวดเร็วขึ้น หากพบปัญหาหรือเรื่องเฉพาะกิจใดๆ ให้รายงาน และติดตามเรื่องอยู่เสมอ ส่วนเนื้อหาที่ใช้ในการรายงานติดตาม ตรวจสอบและประเมินผล ต้องสั้น กระชับ เน้นการนำเสนอโดยให้ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนา มากกว่านำเสนอปัญหาเหมือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำให้ที่ประชุมนำเทคโนโลยี ดิจิทัล มาใช้ในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล ดังนั้นต่อไปการรายงานเรื่องต่างๆ ไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารอีกต่อไป และอีกเรื่อง คือการเน้นย้ำข้อตรวจราชการ และการประเมินผล ขอให้ตรวจตามนโยบาย 12 เรื่องหลัก เช่น การสอนแบบ Active Learning การสอนประวัติศาสตร์ การเรียนระบบทวิภาคี การศึกษาปฐมวัย วิทยฐานะ การเรียนการสอนในยุคโควิด-19 การเรียนรู้ตลอดชีวิต การอัพสกิล รีสกิล เป็นต้น

น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อไปว่า  นอกจากนี้ที่ประชุมยังหารือถึงการทำงาน โดยให้ปรับโครงสร้างตรวจราชการ ติดตามและประเมินผลใหม่ โดยให้แยกออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับที่ 1. จะมีคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลฯ เป็นหลัก โดยมีสำนักตรวจราชการและติดตามประเมินผล สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) ทำหน้าที่เป็นเลขานุการ  ซึ่งจะทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ระดับที่  2 . เป็นการตรวจราชการ องค์กรหลักและหน่วยงานใน ศธ.จะเป็นผู้รับผิดชอบ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.)เป็นต้น ให้เน้นการตรวจราชการรูปแบบปฏิบัติงาน การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ และ ระดับที่ 3 คือระดับพื้นที่ มีหน่วยงานรับผิดชอบ เช่น ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ศึกษาธิการภาค (ศธจ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) เป็นต้น มาทำตามติดตาม ตรวจสอบในระดับพื้นที่

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมหารือร่วมกันแล้วเห็นว่าในส่วนกลางควรจะมีกลไกเพื่อเชื่อมการทำงานในระดับต่างๆ และให้คณะทำงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และสร้างความสามัคคีปรองดอง กระทรวงศึกษาธิการ (ป.ย.ป.ศธ.) เป็นผู้เชื่อมการทำงานทุกระดับ ซึ่งที่ประชุมมอบหมายให้ ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัด ศธ.จัดทำโครงสร้างการติดตาม ตรวจสอบ เพื่อให้การประเมินผลของศธ. เป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น

ก.ค.ศ.เห็นชอบหลักการพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา

เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2564 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)ที่มี น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน ว่า  ที่ประชุมได้เห็นชอบหลักการเกี่ยวกับการจัดทำโครงการพัฒนาสมรรถนะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนการคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา โดยกำหนดให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งและมีความประสงค์จะเปลี่ยนตำแหน่งเข้าสู่สายงานดังกล่าว จะต้องผ่านการพัฒนาทักษะและสมรรถนะที่จำเป็นตามที่กำหนด ในมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิชาชีพก่อน จากนั้นจึงจะเป็นผู้มีคุณสมบัติในการเข้ารับการสรรหาเข้าสู่ตำแหน่งต่อไป ดังนั้นเพื่อให้ระบบการพัฒนาสมรรถนะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนการคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษามีความถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และเหมาะสม เพราะกระบวนการดังกล่าวถือเป็นกระบวนการแรกในการกลั่นกรองข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนการคัดเลือก รวมทั้งยังมีความเชื่อมโยงกับระบบอื่น ๆ ต่อไป เช่น การประเมินวิทยฐานะ การประเมินผลการปฏิบัติงาน ฯลฯระยะเวลาการดำเนินการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 – 2566

“โครงสร้างดังกล่าวจะส่งเสริมให้ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาได้รับโอกาสในการพัฒนาศักยภาพการบริหาร(Management)และภาวะผู้นำ(Leadership)ก่อนการคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา รวมถึงสำนักงานก.ค.ศ.จะได้มีตัวอย่างในการพัฒนาสมรรถนะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เป็นระบบและมีความต่อเนื่อง และเพื่อให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นตัวอย่างของการนำระบบสมรรถนะมาใช้ในการสร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต่อไป”รศ.ดร.ประวิต กล่าว

เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างการกำหนดตำแหน่งอย่างอื่นที่ ก.ค.ศ. เทียบเท่า สำหรับตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. ตำแหน่งที่เทียบเท่าตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง ได้แก่ ผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัด และผู้อำนวยการสำนักงาน กศน. จังหวัด/กรุงเทพมหานคร 2. ตำแหน่งที่เทียบเท่าตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับต้น ได้แก่ ผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ

ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนอำเภอ รองผู้อำนวยการสำนักงานาเขตพื้นที่การศึกษา รองผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัด และรองผู้อำนวยการสำนักงาน กศน. จังหวัด/กรุงเทพมหานคร 3. ตำแหน่งที่เทียบเท่าตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ได้แก่ ตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประเภท ก. ข. และ ค. (1) ที่มีวิทยฐานะเชี่ยวชาญ 4. ตำแหน่งที่เทียบเท่าตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำนาญกำรพิเศษ ได้แก่ ตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประเภท ก. ข. และ ค. (1) ที่มีวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ 5. ตำแหน่งที่เทียบเท่าตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการ ได้แก่ ตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประเภท ก. ข. และ ค. (1) ที่มีวิทยฐานะชำนาญการ ทั้งนี้ ให้ยกเลิกการกำหนดตำแหน่งอย่างอื่นที่ ก.ค.ศ. กำหนด เพื่อเป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัด รองศึกษาธิการจังหวัด และตำแหน่งประเภทอำนวยการ ตามที่ ก.ค.ศ. ได้เคยกำหนดไว้เดิม

ศธ.-สธ.ร่วมกันแถลงข่าวเตรียมความพร้อมเปิดเรียนทั่วประเทศวันที่ 1 พ.ย.64

เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2564 ที่อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย ได้ร่วมกันแถลงข่าว “การเตรียมความพร้อมเปิดเรียนภาคที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ในวันที่ 1 พ.ย.2564 ของสถานศึกษาในสังกัด ศธ. โดย น.ส.ตรีนุช  กล่าวว่า ศธ.ได้ออกประกาศ ศธ. เรื่อง หลักเกณฑ์การเปิดโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 34 ) เพื่อกำกับดูแลและเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักเรียน ครู และประชาชนทั่วไป ว่า โรงเรียนและสถาบันการศึกษา สามารถดำเนินกิจกรรมได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ตามแนวการเปิดภาคเรียนที่ 2/2546 ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)

น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า  ประกาศ ศธ.ฉบับนี้ได้กำหนดหลักเกณฑ์การเปิดโรงเรียนหรือสถานศึกษา เงื่อนไขของมาตรการ แนวปฏิบัติ แผนเผชิญเหตุ และรายละเอียดต่างๆระบุไว้อย่างชัดเจน โดยมีสาระสำคัญ 5 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 เงื่อนไขหลักของมาตรการ Sandbox Safety Zone in School (SSS) รองรับการเปิดภาคการศึกษาที่ 2/2564 โดยจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาแบบ on site จำแนกตามเขตพื้นที่การแพร่ระบาดของ โรคโควิด-19 ส่วนที่ 2 ดำเนินการตามเงื่อนไขข้อกำหนดของ 6 มาตรการหลัก 6 มาตรการเสริม  และแนวทาง 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษา (ประเภทไป-กลับ) ส่วนที่ 3 หลักเกณฑ์การพิจารณาสำหรับการใช้อาคารหรือสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอน การสอบ การฝึกอบรม หรือการทำกิจกรรมใด ๆ ของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) หรือ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ส่วนที่ 4 มาตรการตามแผนเผชิญเหตุตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของสถานศึกษา และ ส่วนที่ 5 หลักเกณฑ์การพิจารณาสำหรับการใช้อาคารหรือสถานที่ของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา เพื่อการสอบ การฝึกอบรม หรือ การทำกิจกรรมใดๆ ที่มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้  ในการเปิดเรียนแบบ On Site โรงเรียน หรือ สถานศึกษาต้องผ่านการประเมินความพร้อมผ่าน Thai Stop Covid Plus (TSC+) และรายงานการติดตามการประเมินผลผ่าน MOECOVID โดยถือปฏิบัติอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง, ครูและบุคลากร ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) หรือ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ต้องได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ร้อยละ 85 ขึ้นไป สำหรับครูและบุคลากรในพื้นที่อื่น ๆ ต้องได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 ร้อยละ 85 ขึ้นไป ส่วนนักเรียนไม่มีกำหนด แต่ ศธ.ได้รณรงค์ทำความเข้าใจให้นักเรียนเข้ารับการฉีดวัคซีนมากที่สุด เพื่อความปลอดภัยของนักเรียนและผู้ปกครอง

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า สำหรับสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) มีโรงเรียนทั้งหมด 9,120 แห่ง แบ่งเป็น โรงเรียนประเภทสามัญศึกษา 3,756 แห่ง โรงเรียนนานาชาติ 226 แห่ง และมีโรงเรียนนอกระบบกว่า 5,100 แห่ง โรงเรียนเอกชนได้รับอนุญาตให้เปิด On Site ดังนี้ โรงเรียนประเภทสามัญ 309 แห่ง โรงเรียนนานาชาติ 103 แห่ง และโรงเรียนนอกระบบ 203 แห่ง รวม 615 แห่ง และอยู่ระหว่างขออนุญาตจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด 313 แห่ง  สำหรับสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ที่ดูแลผู้เรียนกว่า 850,000 คน การจัดการเรียนสอนว่าจะจัดการเรียนการสอนรูปแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับพื้นที่บริหารจัดการทั้งนี้ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดด้วย

“โรงเรียน สามารถจัดการเรียนการสอน ได้ทั้งรูปแบบ On Site หรือ On Line หรือ แบบผสมผสาน (Hybrid) ,นักเรียน ครู และบุคลากร ทุกคนต้องประเมิน Thai Save Thai (TST) ตามเกณฑ์จำแนกตามเขตพื้นที่การแพร่ระบาด, มีการสุ่มตรวจคัดกรองหาเชื้อ (ATK) ทั้งนักเรียน ครู และบุคลากร เพื่อเฝ้าระวัง ,มีการปฏิบัติตามมาตรการสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเข้มข้น , ทำกิจกรรมร่วมกันในรูปแบบ Small Bubble หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมข้ามกลุ่มกัน และจัดนักเรียนในห้องเรียนขนาดปกติ ไม่เกิน 25 คน หรือ จัดให้เว้นระยะห่างระหว่างนักเรียนในห้องเรียนไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร  ตลอดจนมีสถานที่แยกกักตัวในโรงเรียน หรือ พื้นที่แยกกักชั่วคราว รวมไปถึงแผนเผชิญเหตุสำหรับรองรับการดูแลรักษาเบื้องต้นกรณีนักเรียน ครู หรือบุคลากรในสถานศึกษากรณีมีการติดเชื้อโควิด-19 หรือ ผลตรวจคัดกรองหาเชื้อเป็นบวก โดยมีการซักซ้อมอย่างเคร่งครัด และ ควบคุมดูแลการเดินทางกรณีมีการเข้าและออกจากสถานศึกษาอย่างเข้มข้น โดยหลีกเลี่ยงการเข้าไปสัมผัสในพื้นที่ต่างๆ ตลอดเส้นทางการเดินทาง ทั้งนี้ มาตรการและแนวทางต่างๆจะปรับตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค ขึ้นกับคณะกรรมการควบคุมโรคจังหวัด หรือ คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครกำหนด”น.ส.ตรีนุช กล่าว

ดร.สุภัทร  กล่าวว่า จากข้อมูลวันที่  26 ต.ค.ที่ผ่านมา การฉีดวัคซีนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสังกัด ศธ. มีดังนั้น ฉีดเข็มที่ 1 จำนวน 782,010 ราย แบ่งเป็น ครู 576,748 ราย บุคลากร 205,262 ราย ฉีดเข็มที่ 2 จำนวน 522,133 ราย แบ่งเป็น ครู 363,749 ราย บุคลากร 158,384 ราย ยังไม่ได้รับวัคซีน 112,377 ราย แบ่งเป็น ครู 88,735 ราย บุคลากร 23,642 ราย ส่วนภาพรวมจำนวนนักเรียนที่ฉีดวัคซีน จากข้อมูลวันที่ 27 ตุลาคม มีดังนี้ นักเรียนประสงค์ฉีดวัคซีน 3,817,727 ราย ฉีดวัคซีนแล้ว 2,544,267 ราย คิดเป็น 66.64%

ดร.อัมพร กล่าวว่า สพฐ.มีครูและบุคลากรทางการศึกษาประมาณ 4 แสนคน มีนักเรียนที่ต้องดูแลกว่า 5 ล้านคน การเปิดเรียนนั้น สพฐ.จะใช้โรงเรียนเป็นฐานในการประเมินสถานการณ์ว่าโรงเรียนไหนะจะเปิดเรียน On Site ได้หรือไม่ได้ โดยมีเป้าหมายว่าทำอย่างไรให้โรงเรียนมีความปลอดภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ปกครอง อย่างไรก็ตาม จากการทำงานตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา สพฐ.จะมุ่งไปที่การเตรียมความพร้อมของโรงเรียนเด็ก และบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งวันที่ 1 พฤศจิกายนจะเป็นการเปิดเรียนพร้อมกันทั่วประเทศ ส่วนจะเรียน On Site ได้หรือไม่ โรงเรียนต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดก่อน

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าโรงเรียนจะเปิดเรียนรูปแบบ On Site แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะบังคับให้นักเรียนทุกคนมาเรียนในโรงเรียน การมาเรียนในโรงเรียนขึ้นอยู่กับความสมัครใจของนักเรียนและผู้ปกครอง นักเรียนคนใดไม่ต้องการมาโรงเรียน โรงเรียนก็จะการศึกษารูปแบบอื่นให้ อย่างไรก็ตาม  จากการรวบรวมข้อมูลมีโรงเรียนเสนอให้คณะกรรมการโรติดต่อจังหวัดพิจารณาอนุมัติเปิดเรียน On Site ประมาณ 80% แล้ว แต่ได้รับการอนุมัติให้เปิดเรียน On Site ประมาณ 12,000 แห่ง ส่วนกิจกรรมที่จะทำในโรงเรียน เช่น กีฬา การเข้าค่าย ถ้าสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ ขอให้เลือกที่จำเป็นจริงๆ และจำนวนนักเรียนเข้าห้องเรียนต้องไม่เกิน 25 คน ดังนั้นการดำเนินการต่างๆ ขอให้โรงเรียนยึดความปลอดภัยของนักเรียนเป็นหลัก

ดร.สุเทพ  กล่าวว่า สอศ.ได้จัดทำ แนวทางการจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19  ในสถานศึกษา ภาคเรียนที่ 2/2564 เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติสำหรับสถานศึกษาในการจัดการศึกษา ในสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ได้อย่างปลอดภัย  ทั้งนี้ แต่ละสถานศึกษา สามารถนำแนวทางปฏิบัติฯ ไปปรับใช้ตามบริบทสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่กลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนความเชื่อแต่ละศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อให้สอดคล้องและเกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนการเปิดเรียนในกรณีที่สถานศึกษาใช้รูปแบบ On Site และรูปแบบการเรียนแบบผสมผสาน สามารถนำเนินการได้หลายกรณี เช่น เปิดการเรียนการสอน ในแบบปกติ (วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00-16.30 น.)  หรือ เรียนแบบสลับสัปดาห์เรียน (เข้าเรียน 1 สัปดาห์ หยุดเรียน 1 สัปดาห์) หรือแบบสลับเวลาเรียน (ช่วงเช้า , ช่วงบ่าย)  หรือ แบบสลับวันเรียน (เรียนแบบวันเว้นวัน) , (วันคู่ วันคี่) ซึ่งสถานศึกษาสามารถปรับใช้ได้ตามสถานการณ์

นพ.โอภาส กล่าวว่า การฉีดวัคซีน เป็นกลไกหนึ่งที่ทำให้เราสามารถอยู่กับโควิด-19 ได้ เพราะวัคซีนสามารถป้องกันการป่วยหนัก ป้องกันการเสียชีวิตได้ดี ดังนั้นถ้าเด็กได้รับวัคซีนแม้จะติดเชื้อแต่จะช่วยลดโอกาสในการเสียชีวิต จากข้อมูลขณะนี้ทราบวันมีผู้ปกครองทยอยแจ้งความประสงค์ให้นักเรียนฉีดวัคซีนเพิ่มเติมกว่า 500,000 คน เป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่จะจัดหาวัคซีนให้นักเรียนต่อไป ส่วนประเด็นที่ผู้ปกครองกังวลใจถึงผลข้างเคียงการฉีดวัคซีนอาจจะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งผลข้างเคียงนี้สามารถเกิดขึ้นได้ แต่โอกาสที่เกิดมีน้อย และรักษาหายได้ ส่วนเด็กอายุ 3-11 ขวบ จากข้อมูลล่าสุดเท่าที่ทราบ มีหลายประเทศเริ่มฉีดวัคซีนให้เด็กประถมศึกษาแล้ว ขณะนี้ สธ.อยู่ระหว่างเร่งให้บริษัทที่เกี่ยวข้องมาขึ้นทะเบียนวัคซีนกับสำนักงานคณะกรรมกาอาหารและยา (อย.) หาก อย.อนุญาตให้ฉีดวัคซีนในเด็กประถมได้ ก็จะจัดเตรียมวัคซีนฉีดเด็กทันที เชื่อว่าอีกไม่นานจะสามารถดำเนินการฉีดให้เด็กได้

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า ขอย้ำว่าเมื่อเปิดเรียนแล้ว โอกาสติดเชื้อในโรงเรียนมีแน่นอน ขออย่ากังวลในส่วนนี้ เพราะเมื่อเปิดเรียนแล้วทาง ศธ..และสธ. มีมาตรการสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ และที่ผ่านมา 2 ปี ไม่เคยมีการระบาดใหญ่ในโรงเรียนแล้วกระจายสู่ชุมชนอย่างกว้างขวาง เพราะนักเรียนจะอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ไม่ได้เคลื่อนย้ายไปอย่างรวดเร็วจนทำให้เชื้อแพร่กระจายได้ ดังนั้น อย่าไปนั่งนับว่าโรงเรียนจะมีการติดเชื้อกี่แห่งหลังจากเปิดเรียนแล้ว ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเมื่อเกิดการติดเชื้อแล้วสถานศึกษาสามารถควบคุมได้

ด้าน นพ.สราวุฒิ กล่าวว่า ขอให้โรงเรียนดำเนินการตาม 6 มาตรการหลัก 6 มาตรการเสริม  และแนวทาง 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษา (ประเภทไป-กลับ) สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญมาก ขอให้โรงเรียนนำไปปฏิบัติเพื่อสร้างความปลอดภัยให้นักเรียนต่อไป ส่วนการใช้ ATK สุ่มตรวจนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาเพื่อเฝ้าระวังนั้น คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจะเป็นผู้พิจารณาในการใช้ ATK กับสถานศึกษา เบื้องต้นจะทำการสุ่มตรวจในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด คือพื้นที่สีแดงเข้ม และพื้นที่สีแดง โดยจะสุ่มตรวจประมาณ 20% ขอนักเรียน ครู และบุลากรทางการศึกษา