ศธ.ย้ำ 1 พ.ย.นี้ เปิดโรงเรียนแน่นอน ส่วนจะเรียนรูปแบบไหนรอฟังคำตอบ28พ.ย.

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม น.ส.ตรีนุซ เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยถึงความพร้อมเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ว่า ในวันที่ 28 ตุลาคมนี้ ศธ. และ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) จะร่วมกันแถลงถึงมาตรการและแนวทางปฏิบัติการเปิดภาคเรียนที่ 2/2564 ที่จะเปิดในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ปกครองได้รับทราบ ว่า ศธ.ทำงานภายใต้ความปลอดภัยและต้องมีมาตรการร่วมกับทางสธ.อย่างไรบ้าง โดย ศธ.จะกำชับโรงเรียนต่าง ๆปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวอย่างเข้มข้น

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า โรงเรียนในสังกัด ศธ.มีความซับซ้อน และมีความแตกต่างกัน ดังนั้น โรงเรียนที่อยู่พื้นที่สีแดงเข้ม และพื้นที่สีแดง การเปิดเรียนออนไซต์ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ก็อาจจะต้องมีมาตรการที่เข้มข้นกว่า เช่น ครูต้องได้รับวัคซีนมากกว่าพื้นที่อื่น เป็นต้น ส่วนโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล หรืออยู่ตามเกาะ ก็อาจจะสามารถเปิดเรียนออนไซต์ได้ปกติ ขณะนี้ ศธ. ได้รวบรวมตัวเลขไว้แล้วว่ามีโรงเรียนใดบ้างที่สามารถเปิดเรียนปกติได้ ในวันที่ 1 พฤศจิกายนได้เลย อย่างไรก็ตามในวันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นการกำหนดวันเปิดเทอมเท่านั้น ส่วนโรงเรียนไหน จะเปิดเรียนรูปแบบใด คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจะเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ

ด้าน ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า การเปิดภาคเรียนที่ 2/2564 ไม่ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 จะเป็นอย่างไร แต่ ศธ.ประกาศเปิดภาคเรียนที่ 2/2564 เป็นปกติ โดยกำหนดรูปแบบการจัดการเรียนการสอน 5 รูปแบบ คือ  On Site คือ การเดินทางมาเรียนที่โรงเรียน On Air เรียนผ่านระบบมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม หรือ DLTV  On Line ครูผู้สอนทำการสอนผ่านระบบอิเลคทรอนิค On Demand  เรียนผ่านระบบแอปพลิเคชันและการเรียนแบบ และ On Hand ครูผู้สอนเดินทางไปแจกเอกสารใบงานให้กับนักเรียนที่บ้าน

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า ส่วนโรงเรียนไหนจะเปิดเรียนรูปแบบ On Site สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะประเมินความพร้อมของโรงเรียน โดยดูพื้นที่การแพร่ระบาด เช่น โรงเรียนในพื้นที่สีแดงเข้ม และพื้นที่สีแดง ครูและบุคลากรทางการศึกษาจะต้องได้รับวัคซีนมากกว่า 85%  โรงเรียนต้องทำการประเมินตนเองในระบบ Thai Dtop Covid Plus (TSC+) หากประเมินผ่านแล้ว ให้โรงเรียนนำผลการประเมินตนเองเสนอคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้ความเห็นชอบ และเสนอต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพื่อพิจารณาอนุมัติให้เปิดเรียนต่อไป ถ้าคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาเห็นชอบแล้ว โรงเรียนก็สามารถเปิดเรียนรูปแบบออนไซต์ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ได้

“ผมมอบหมายให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทั่วประเทศ ทำการสำรวจความพร้อมของโรงเรียน และเสนอให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดแต่ละจังหวัดพิจารณาเปิดเรียน คาดว่าจะในวันที่ 28 ตุลาคมนี้ จะทราบรายละเอียดว่า มีโรงเรียนกี่แห่งที่พร้อมเปิด ออนไซต์ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน มีโรงเรียนกี่แห่งพร้อมเปิดเรียน ออนไซต์ วันที่ 15 พฤศจิกายน และมีโรงเรียนกี่แห่งที่พร้อมเปิดเรียน ออนไซต์ ในวันที่ 1 ธันวาคม ส่วนเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี แม้ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนก็สามารถมาเรียน ออนไซต์ ได้ เพราะสพฐ. ไม่ได้นำการฉีดวัคซีนของเด็กมาเป็นปัจจัยพิจารณาเปิดเรียน แต่จะเน้นการฉีดวัคซีนให้ครูและผู้ปกครองเป็นหลัก ถ้าครูในโรงเรียนนั้นฉีดวัคซีนมากกว่า 85% ก็สามารถเปิดเรียนรูปแบบ ออนไซต์ ได้

ศธ.จัดใหญ่! แถลง 4 ภารกิจหลักพัฒนาการศึกษาพิเศษ ภายใต้แนวคิด ‘การศึกษาพิเศษไทย หัวใจนำทาง’ สร้างโอกาสให้เด็กพิการ-ด้อยโอกาส

 

ที่หอประชุมคุรุสภา เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2564  น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.) เป็นประธานแถลงข่าวผลงานสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กพิการและด้อยโอกาส 4 ภารกิจหลัก ภายใต้แนวทาง “การศึกษาพิเศษไทย หัวใจนำทาง” โดยมี น.ส.อรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)และผู้บริหารระดับสูง ศธ. เข้าร่วม ทั้งนี้ น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า  ที่ผ่านมา ศธ.ได้ขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาพิเศษภายใต้แนวคิด “การศึกษาพิเศษไทย หัวใจนำทาง” ใน 4 ภารกิจหลักเร่งด่วน (Quick Win) ดังนี้ 1.การปักหมุดค้นหาเด็กพิการที่ตกหล่นอยู่ในพื้นที่ต่างๆ นำเข้าสู่ระบบคัดกรอง ส่งต่อระบบการศึกษา หรือการให้บริการทางการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษแต่ละบุคคล โดยได้ดำเนินการจัดทำฐานข้อมูล Big Data เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษา พร้อมกับให้ศูนย์การศึกษาพิเศษทุกจังหวัด ค้นหาเด็กพิการในวัยเรียนที่อายุไม่เกิน 18 ปี และยังไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา ให้ได้รับการพัฒนาอย่างทั่วถึง และเท่าเทียมตามที่ได้ข้อมูลจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จำนวนกว่า 7,000คน  2. การจัดทำคู่มือสื่อบัญชี ก-ข-ค ซึ่งเป็นสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ให้สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน และขณะนี้สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ(สศศ.) ได้แจ้งให้ศูนย์การศึกษาพิเศษทุกแห่ง ประชาสัมพันธ์คู่มือรายการสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ให้โรงเรียนจัดการเรียนรวมในจังหวัดที่ศูนย์การศึกษาพิเศษรับผิดชอบ นำไปใช้งานเพื่อประโยชน์สำหรับคนพิการ และผู้ปฏิบัติงานต่อไป

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า 3.การช่วยเหลือเด็กที่เจ็บป่วยในโรงพยาบาล โดยได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์การเรียนสำหรับเด็กในโรงพยาบาล เพื่อให้บริการทางการศึกษาแก่บุคคลที่มีความบกพร่องทางสุขภาพวัยเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งจัดเป็นคนพิการทางการศึกษาประเภทบุคคลที่มีความบกพร่องทางสุขภาพ โดยปัจจุบันมีศูนย์ช่วยเหลือ 85 ศูนย์ กระจายใน 77 จังหวัด ครอบคลุมทั้งประเทศ โดยมีภารกิจหลักคือ การช่วยเหลือเด็กที่เจ็บป่วยอยู่ในโรงพยาบาล หรือที่บ้านภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 เป็นระยะเวลานานจนไม่สามารถไปเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานได้ตามปกติ และ 4. การสร้างและส่งต่อแรงบันดาลใจ คนภายนอกจะมองว่าการดูแลเด็กพิการหรือเด็กด้อยโอกาส เหมือนเป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็ก และอาจมีคำถามว่าเมื่อเด็กจบจากการศึกษาไปแล้วเด็กจะไปที่ไหน จะทำอะไร จึงจำเป็นต้องสื่อให้คนภายนอกเห็นว่า เด็กพิการและเด็กด้อยโอกาสมากมายที่เข้ามาอยู่ในโรงเรียนการศึกษาพิเศษ ได้ถูกบ่มเพาะ ทำให้เด็กก้าวข้ามคำว่าพิการหรือด้อยโอกาสจนประสบความสำเร็จได้

“ภารกิจด้านการศึกษานั้นเป็น ภารกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่งกับประเทศชาติการศึกษาไทยจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งนี้ขอขอบคุณ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ ที่มีความเป็นห่วงเด็กพิเศษในเรื่องการเรียนและความเป็นอยู่อย่างมาก ติดตามและให้การช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด เพื่อให้เด็กพิเศษทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพสูงสุด ตนตระหนักดีว่า ภารกิจของ ศธ.มีอยู่มากมาย ทั้งที่ยังรอการดำเนินงานและที่ได้เริ่มขับเคลื่อนไปแล้ว ซึ่งจำต้องอาศัยความพยายามที่จะให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เด็กพิเศษทุกคนต้องสามารถดำรงชีวิตในสังคมอย่างมีเกียรติศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับผู้อื่นในสังคม สามารถช่วยเหลือตนเอง และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ”รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

ทั้งนี้ ในการแถลงข่าวได้มีการเปิดเทปบันทึกของ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ ที่กำกับดูแล สศศ. มาร่วมแถลงด้วย  โดย คุณหญิงกัลยา กล่าวว่า เราต้องให้ความรู้กับเด็กกลุ่มพิการทั้ง 9 ประเภท ทั้งทางด้านวิชาการ วิชาชีพ และวิชาชีวิต เพราะเด็กที่ด้อยโอกาสเหล่านี้ เมื่อมีโอกาสได้เรียนรู้แล้ว ก็จะสามารถไปประกอบอาชีพเพื่อตัวเองได้ เมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน  ดังนั้น การดูแลเด็กเหล่านี้จึงมีความจำเป็นจะต้องมีครูพิเศษ ที่เอาใจใส่ดูแลเหมือนเขาเป็นลูกคนหนึ่ง เพราะต้องอยู่กับเด็กตลอด 24 ชั่วโมง และการที่เด็กได้อยู่กับครูที่อยู่โรงเรียนประจำ จะทำให้เขาได้เรียนรู้วิชาชีวิตไปในตัว ทั้งงานบ้าน งานเกษตร งานอาชีพ ซึ่งแล้วแต่ความสนใจ สรุปก็คือการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังแม้แต่คนเดียว

นางกนกวรรณ กล่าวว่า รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้ตนกำกับดูแลใน 3 หน่วยงาน คือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ในด้านการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ตนได้กำหนดทิศทางการทำงาน และได้ดำเนินการตามนโยบายของ ศธ.อย่างต่อเนื่อง ดังนี้ ในส่วนของ สช. ได้พัฒนาครูในโรงเรียนเฉพาะความพิการในสังกัด สช. ทุกโรงเรียน และจะดำเนินการในโรงเรียนที่จัดการเรียนร่วมต่อไป นอกจากนี้ได้ดำเนินการขอเพิ่มเงินอุดหนุนรายบุคคล ให้แก่นักเรียนพิการ ตามความจำเป็นที่เหมาะสม เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา (ครม.) ตามความเห็นชอบของคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) และอุดหนุนสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ให้กับนักเรียนพิการ คนละ 2,000 บาทต่อปี

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า สำหรับ กศน. ได้จัดการศึกษา ให้กับผู้พิการทั้ง 9 ประเภท ทั่วประเทศ ขณะนี้มีนักศึกษา 7,544 คน ครูสอนคนพิการ 516 คน ทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาต่อเนื่อง และการศึกษาตามอัธยาศัย สำหรับในปีงบประมาณ 2565 ได้ประสานความร่วมมือระหว่าง กศน. และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อสำรวจคนพิการที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา ในเบื้องต้นกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ได้ส่งรายชื่อผู้ที่จดทะเบียนคนพิการ และยังไม่เข้าสู่ระบบการศึกษา จำนวนกว่า 50,000 คน จะได้ลงพื้นที่ทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ ทางสำนักงาน กศน.จังหวัด ร่วมกับศูนย์การศึกษาพิเศษ สพฐ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำรวจ ค้นหา คัดกรอง จัดทำฐานข้อมูล และดำเนินการจัดการศึกษาให้ผู้พิการในจังหวัดนำร่อง 18 จังหวัด ตามเขตตรวจราชการของ ศธ.

ดร.อัมพร กล่าวว่า  สพฐ. ดูแลเด็กพิเศษ และเด็กพิการกว่า 70,000 คน ยังไม่รวมเด็กพิเศษและเด็กพิการในสังกัดอื่น สพฐ.ต้องการให้เด็กเหล่านี้เข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม โดยร่วมมือกับ พม.และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำรวจเด็กพิการทั่วประเทศ จากนั้น สพฐ.จะแบ่งกลุ่ม แบ่งประเภท เพื่อจัดการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของเด็ก ในกลุ่มเด็กที่ไม่สามารถไปเรียนได้ สพฐ.จะจัดการศึกษาโดยปรับบ้านเป็นโรงเรียน เปลี่ยนพ่อแม่เป็นครู ส่วนเป้าหมายในการจัดการศึกษาให้เด็กเหล่านี้ คือ ต้องสอนให้เด็กช่วยเหลือตนเองให้ได้ สอนให้เด็กมีทักษะด้านวิชาการ และมีทักษะอาชีพ เพื่อให้เด็กสามารถประกอบอาชีพโดยไม่เป็นภาระของใคร

 

 

 

เลขาธิการกพฐ.เผย รร.พร้อมเปิดเรียนออนไซต์ ทั้งนี้ต้องขออนุญาตศบค.จังหวัด

เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผยกรณีครูและบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนบางแห่งฉีดวัคซีนยังไม่ถึง 85% เกรงว่าจะไม่สามารถเปิดเรียนได้ ว่า ถ้ามองในมิติของโรงเรียน ไม่น่าจะเป็นวิกฤตที่โรงเรียนไม่สามารถเปิดเรียนได้ เพราะครูและบุคลากรทางการศึกษามีถึง 8.9 แสนคน ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนเลยมีเพียง 1.3 แสนคน ซึ่งกระจายอยู่ทุกพื้นที่ อย่างไรก็ตามในจำนวนนี้ไม่ใช่ครูและบุคลากรไม่อยากฉีดวัคซีน แต่บางกลุ่มรอวัคซีนทางเลือก และบางกลุ่มไม่สามารถฉีดวัคซีนได้จริง ๆ เพราะมีโรคประจำตัวที่ห้ามไม่ให้ฉีด ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าครูเหล่านี้ไม่ฉีด จึงทำให้โรงเรียนเปิดเรียนออนไซต์ไม่ได้ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามรณรงค์ให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาเห็นความสำคัญในการฉีดวัคซีน

“ตอนนี้กระทรวงศึกษาธิการประกาศแล้วว่าวันที่ 1พ.ย.นี้ เราต้องการเปิดเรียนออนไซต์ให้มากที่สุด ซึ่งโรงเรียนส่วนใหญ่ก็มีความพร้อมที่จะเปิดออนไซด์ แต่คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อ(ศบค.)บางจังหวัด ยังเห็นว่ายังไม่ควรที่จะเปิดออนไซต์ตอนนี้ ซึ่งเราก็ต้องปฏิบัติตาม อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีโรงเรียนทยอยส่งรายชื่อมาแล้วว่ามีความพร้อมเปิดเรียนออนไซต์ ในวันที่ 1 พ.ย.บางโรงเรียนจะเปิดเรียนออนไซต์วันที่ 15 พ.ย.และบางโรงเรียนก็จะเปิดเรียนออนไซต์วันที่ 1 ธ.ค. เพราะโดยระบบของโรงเรียนมีความพร้อมอยู่แล้วทั้ง 5 รูปแบบ บางโรงเรียนอาจเปิดเรียนทั้งออนไซต์และออนรูปแบบอื่น ซึ่งผมได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับโรงเรียนไปแล้วว่าแล้วแต่ดุลพินิจของโรงเรียน คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัด และผู้ปกครอง ซึ่งจะเรียนออนไซต์ เรียนแบบผสมผสาน หรือเรียนรูปแบบอื่น ซึ่งก็แล้วแต่ความเหมาะสมของพื้นที่นั้น ๆ “เลขาธิการ กพฐ.กล่าว

สพฐ.ไม่ยึดจังหวัดเป็นฐานเปิดเรียน On Site รร.ไหนพร้อม เปิดได้เลย

เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2564 ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้รับนโยบายจาก น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) ให้ดำเนินการเปิดภาคเรียนที่ 2/2564  วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564  ในรูปแบบ On Site ให้ได้มากที่สุด นั้น ขณะนี้  สพฐ. ได้กำหนดว่าในวันที่ 1 พฤศจิกายน เราจะเปิดเรียนปกติ ส่วนโรงเรียนจะเปิดเรียนในรูปแบบ On Site ได้มากน้อยแค่ไหนนั้น สพฐ.ได้ออกแนวปฏิบัติการเตรียมการก่อนเปิดภาคเรียน โดยให้โรงเรียนดูองค์ประกอบ 6 ประการ คือ 1.ประเมินตนเองในระบบ Thai Dtop Covid Plus (TSC+) ผ่านระดับสีเขียว จึงสามารถยื่นขออนุญาตเปิดเรียนแบบ On Site 2.ครู และบุคลากรทางการศึกษาต้องได้รับวัคซีน 85% ขึ้นไป  3.นักเรียนและผู้ปกครองต้องได้รับการฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด 4.สถานศึกษานำผลการประเมินตนเองเสนอคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้ความเห็นชอบ และเสนอต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพื่อพิจารณาอนุมัติให้เปิดเรียน

เลขาธิการกพฐ.กล่าวต่อไปว่า ประการที่ 5 หากคณะกรรมโรคติดต่อจังหวัดอนุมัติให้เปิดเรียน สถานศึกษาต้องปฏิบัติตาม 6 มาตราหลัก คือ เว้นระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1-2 เมตร สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่อยู่ในโรงเรียน ล้างมือบ่อยๆ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ลดการแออัด ลดการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ไม่ให้เข้าพื้นที่เสี่ยง และ ทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสร่วม 6 มาตรการเสริม คือ Self-care ดูแลเอาใจใส่ ปฏิบัติ มีวินัย รับผิดชอบตนเองปฏิบัติตนตามมาตรการอย่างเคร่งครัด Spoon ใช้ช้อนส่วนตัว เมื่อกินอาหารลดสัมผัสร่วมกับผู้อื่น Eating กินอาหารปรุงสุก Track ลงทะเบียนเข้า ออกโรงเรียน Check สำรวจตรวจสอบบุคคล นักเรียน และกลุ่มเสี่ยง มาจากพื้นที่เสี่ยงเข้าสู่กระบวนการคัดกรอง Quarantine กักตัวเอง 14 วัน เมื่อเข้าสัมผัสหรืออยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่มีการระบาด และ 7 มาตรการเข้มงวด คือ ประเมินความพร้อมเปิดเรียนผ่าน TSC และรายงานการติดตามการประเมินผลผ่าน MOECOVID จัดกิจกรรมรูปแบบ Small Bubble จัดระบบให้บริการอาหารตามหลักสุขาภิบาลอาหารและหลักโภชนาการ ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ให้เป็นตามเกณฑ์มาตรฐาน ได้แก่ การระบายอากาศภายในอาคาร การทำความสะอาด เป็นต้น จัด School Isolation แผนเผชิญเหตุและมีการซักซ้อม ควบคุมดูแลการเดินทางจากบ้านไปโรงเรียน และจัดให้มี School Pass สำหรับนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษา อย่างเคร่งครัด และประการที่ 6.สถานศึกษารายงานผลการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น

ดร.อัมพร กล่าวอีกว่า สรุปคือ สพฐ. จะไม่ยึดจังหวัดเป็นฐาน แต่ใช้พื้นที่ หมู่บ้าน ชุมชน อำเภอเป็นฐาน ในการพิจารณาเปิดเรียน On Site ดังนั้น ใน 1 จังหวัด ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดพร้อมกันในทุกโรงเรียน โรงเรียนไหนพร้อมก่อน มีมาตรการควบคุมโรคที่ดี ก็สามารถเปิดเรียนก่อนได้ และโรงเรียนอื่นทยอยเปิดตามหลัง เชื่อว่าหากเรามีต้นแบบ มีมาตรการที่เพียงพอ ก็สามารถเปิดเรียน On Site ได้ครบทุกโรงเรียนหากเราปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ และร่วมมือกัน อย่างไรก็ตาม แม้จะเปิดเรียน On Site แล้วก็ตาม คำถามที่ตามมาคือ จะสร้างความเชื่อมั่นในการเปิดเรียนอย่างไร เพราะโรงเรียนในสังกัด สพฐ. มีหลายขนาดทั้งโรงเรียนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ที่มีจำนวนนักเรียนแตกต่างกัน สพฐ.ได้กำหนดมาตรการเบื้องต้นในการเปิดเรียน On Site คือ นักเรียนไม่เกิน 25 คน/ห้องเรียน ถ้าห้องเรียนหนึ่งมีจำนวนนักเรียนเกิน 25 คน โรงเรียนอาจจะให้นักเรียนสลับวันคู่ วันคี่ มาเรียนได้ ทั้งนี้การเปิดเรียนจะต้องดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดอย่างเคร่งครัด

“ลุงป้อม”ห่วง กลุ่มคนพิการ สั่ง ก.แรงงาน จับมือเอกชน จ้างงานคนพิการ ทั่วประเทศ

วันที่ 26 ตุลาคม 2564  ที่กระทรวงแรงงาน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมร่วมเป็นสักขีพยาน ในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจโครงการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ระหว่าง กรมการจัดหางาน และสถานประกอบการชั้นนำ 7 แห่ง โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน  นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารกระทรวงแรงงานร่วมงาน โดยมี นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เป็นผู้ลงนาม

พล.อ.ประวิตร  กล่าวว่า ตนมีความห่วงใยประชาชนกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะคนพิการ ที่ต้องการทำงาน เพื่อหาเลี้ยงตนเองและครอบครัว แต่ยังขาดโอกาส จึงได้มอบหมายให้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.ศึกษาธิการ เร่งดำเนินการโครงการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำ และเสริมสร้างโอกาส ให้คนพิการในประเทศไทยสามารถเข้าถึงสวัสดิการและบริการของรัฐ สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างมีศักดิ์ศรี และไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยได้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการบูรณาการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ระหว่าง 12 กระทรวง 1 หน่วยงาน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

รมว.แรงงาน กล่าวภายหลังเป็นสักขีพยานในการลงนามว่า กระทรวงแรงงานขานรับนโยบายรัฐบาล และเร่งดำเนินการสนับสนุนการจ้างงานเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และการสนับสนุนให้คนพิการมีงานทำตามศักยภาพ และความต้องการทำงาน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม โดยขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในทุกมิติ

สำหรับการจัดกิจกรรมฯ ในครั้งนี้ เป็นการสร้างความร่วมมือด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ระหว่างกรมการจัดหางาน และสถานประกอบการชั้นนำ จำนวน 7 แห่ง ได้แก่ กลุ่มบริษัท อเด็คโก้ ประเทศไทย บริษัท อิตาเลี่ยนไทย ดีเวลล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริษัท รักษาความปลอดภัยการ์ดฟอร์ซ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กลุ่มบริษัทชัยรัชการ และบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (โลตัส) ที่ได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนตามแนวทางประชารัฐ โดยจ้างงานคนพิการ จำนวน 329 อัตรา

“พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จ้างคนพิการเข้าทำงานในอัตราส่วน 100 : 1 หากไม่สามารถดำเนินการได้ จะต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา 34 ในอัตรา 114,245  บาทต่อปี ตามจำนวนคนพิการที่ไม่ได้จ้าง โดยที่ผ่านมามีการนำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ปีละกว่า 800 ล้านบาท ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวกต่อนายจ้าง/สถานประกอบการที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย แต่คนพิการจะไม่ได้รับประโยชน์โดยตรง จึงได้มอบหมายกรมการจัดหางานโน้มน้าวสถานประกอบการเพื่อเปลี่ยนมาจ้างงานคนพิการเชิงสังคม โดยใช้สิทธิตามมาตรา 35 ประเภทจัดจ้างเหมาช่วงงานหรือการจ้างเหมาบริการ เงินก้อนเดิมที่ถูกนำส่งกองทุนฯ จะเปลี่ยนไปสร้างโอกาสให้คนพิการมีงานทำใกล้บ้าน คนพิการมีรายได้จากบริษัทโดยตรง ซึ่งจากความร่วมมือของสถานประกอบการภาคเอกชนทั่วประเทศ ยืนยันการจับคู่ (Matching) พร้อมทำงานแล้ว 568 อัตรา จากเป้าหมาย 1,000 อัตรา แบ่งเป็น จากสถานประกอบการทั้ง 7 แห่งที่ร่วมทำ MoU จำนวน 329 อัตรา และสถานประกอบการเอกชนอื่นๆทั่วประเทศที่ให้ตำแหน่งรวม 239 อัตรา ทั้งหมดจะทำสัญญาจ้าง ภายใน 31 ธันวาคม 2564 และเริ่มปฏิบัติงานในวันที่ 1 มกราคม 2565 วิธีนี้คนพิการจะมีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ สามารถรับประโยชน์ได้โดยตรง”นายสุชาติ กล่าว

ด้านนายไพโรจน์  กล่าวว่า รมว.แรงงาน มีข้อสั่งการให้กรมการจัดหางาน ประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้สถานประกอบการเลือกใช้วิธีการจ้างเหมาบริการคนพิการปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐในจังหวัดที่คนพิการอาศัยอยู่ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล  โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการ ศูนย์บริการคนพิการของท้องถิ่น เทศบาล  โดยครั้งแรกนี้มีเป้าหมายจ้างงานคนพิการเชิงสังคม จำนวน 1,000 อัตรา มีนายจ้าง /สถานประกอบการที่ประสงค์ให้สิทธิคนพิการฯ จำนวน 568 อัตรา คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการที่ประสงค์ทำงาน จำนวน  1,285 อัตรา และมีหน่วยบริการสาธารณะที่สามารถรับคนพิการเพื่อปฏิบัติงาน จำนวน 1,128 อัตรา โดยมีการยืนยันการจับคู่  (Matching) ครบ 3 ฝ่าย (นายจ้าง/สถานประกอบการ+คนพิการฯ+หน่วยบริการสาธารณะ) จำนวน 568 อัตรา  ซึ่งจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศจะเร่งดำเนินการ เพื่อให้ถึงเป้าหมายจ้างงานคนพิการครบ 1,000 อัตรา

“สุภัทร”เผยยอดโรงเรียนฉีดวัคซีนครบ2เข็มกว่า1.2 หมื่นโรง ครูและบุคลากรทางการศึกษากว่า5แสนคนฉีดครบ2เข็มแล้ว

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 ดร.สุภัทร  จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)เปิดเผยถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีคไฟเซอร์ให้แก่นักเรียน นักศึกษา อายุ 12-18 ปี ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่า วันนี้ตัวเลขเด็กฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 2.3 ล้านคนแล้ว ซึ่งจากการได้รับรายงานพบว่า มีนักเรียน นักศึกษา ที่อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้มมีเด็กฉีดวัคซีนเกิน 85% ครบ 2 เข็ม จำนวน 1,000 โรงเรียน พื้นที่สีแดง 1,100 โรงเรียน และพื้นที่สีส้มประมาณ 9,000 โรงเรียน ดังนั้นถ้าโรงเรียนกว่า 12,000 โรงเรียนจะเปิดเรียนออนไซต์ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ก็สามารถเปิดได้

ปลัด.ศธ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับมาตรการเปิดภาคเรียนที่กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทำข้อตกลงและมีเงื่อนไขสำคัญ คือ ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่อยู่ในสถานศึกษานั้น ๆ จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม อย่างน้อย 85%  ซึ่งครูและบุคลากรทางการศึกษามีทั้งหมด 8.9 ล้านคน ฉีดครบ2เข็มแล้วกว่า 5 แสนคน กลุ่มที่รอการฉีดเข็มสองอีก 2.6 แสน และกลุ่มที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนและยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนอีก 1.3 แสน ซึ่งต้องขอให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เช็กข้อมูลการฉีดวัคซีนครูและบุคลากรทางการศึกษาแต่ละโรงเรียน ว่ามีโรงเรียนใดบ้างฉีดยังไม่ถึง 85%  เพราะกลุ่มที่ฉีดครบ 2 เข็ม กว่า 5 แสนคน อาจจะต้องมาคุยเรื่องบูสเตอร์โดสหรือการฉีดเข็ม3  ทั้งนี้การเปิดเรียนแบบออนไซต์นั้น อาจจะไม่สามารถเปิดได้ทั้งหมด เพราะบางโรงเรียนครูและบุคลากรทางการศึกษายังฉีดวัคซีนได้ไม่ถึง 85%

1พ.ย.เปิดเรียนแน่นอน แต่เปิดแบบไหน 27 ต.ค.มีคำตอบ

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยความคืบหน้าการเตรียมพร้อมเปิดภาคเรียนที่ 2 /2564 ว่า ตนได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจความพร้อมการเปิดเรียนรูปแบบ Onsite ในภาคเรียนที่ 2 วันที่ 1 พฤศจิกายน ของสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ( ศธ. ) ซึ่ง ศธ.จะจัดแถลงข่าวมาตรการเปิดเทอม ในวันที่ 27 ตุลาคมนี้ โดยมาตรการในการเปิดภาคเรียนนั้น ศธ.ได้วางแผนร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ซึ่งจะมีรายละเอียดการเปิดเรียนในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้สถานศึกษาไปปฏิบัติตาม ส่วนที่ผู้ปกครองกังวลว่าเมื่อเปิดเทอมแล้วนักเรียนที่อายุต่ำกว่า 12 ปี ยังไม่ได้รับวัคซีนจะมีความปลอดภัยหรือไม่ ศธ.ได้หารือกับ สธ.มาโดยตลอด ซึ่ง สธ.มีความเห็นว่าเด็กเล็กมีความปลอดภัยมากกว่า เพราะเด็กไม่ต้องเดินทางมาโรงเรียนเอง เนื่องจากผู้ปกครองมาส่ง อีกทั้งเด็กมีภูมิคุ้มกันที่ดีกว่าผู้ใหญ่

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่ ศธ.เป็นห่วงและต้องการผลักดันอย่างมากคือ การเร่งให้ครูได้รับวัคซีนให้ได้มากที่สุด เพราะครูเป็นคนที่ใกล้ชิดกับนักเรียนที่สุด ดังนั้นการจะเปิดเรียนแบบOnsiteได้ต้องดูจำนวนครูที่ได้รับวัคซีนด้วย ซึ่งจะมีความชัดเจนมากขึ้นว่าครูแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะครูในพื้นที่สีแดงเข้ม และพื้นที่สีแดง ควรจะได้รับวัคซีนจำนวนเท่าใดถึงจะสามารถเปิดเรียนในรูปแบบ Onsite ได้ ขอให้รอรายละเอียดในวันที่ 27 ตุลาคม

“ยืนยันว่าในวันที่ 1 พฤศจิกายน จะเปิดเทอมแน่นอน เพียงแต่ว่าแต่ละพื้นที่จะสามารถเปิดเรียนในรูปแบบไหนขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่ ส่วนความคืบหน้าการฉีดวัคซีน ขณะนี้พบว่านักเรียนได้รับวัคซีนมากกว่า 2 ล้านคนแล้ว นอกจากนี้ยังมีผู้ปกครองทยอยแจ้งความประสงค์ให้นักเรียนมาฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนครูได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 กว่า 70-80% แล้ว ซึ่งขณะนี้ ศธ.อยู่ระหว่างผลักดันให้ครูได้รับวัคซีนให้ครบทั้ง 2 เข็ม ให้มากที่สุด ” น.ส.ตรีนุช กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีโรงเรียนเอกชนบางแห่งให้ผู้ปกครองซื้อชุดตรวจATK เพื่อตรวจนักเรียนก่อนเปิดเรียน รมว.ศธ. กล่าวว่า ศธ.หารือกับ สธ.ในประเด็นนี้ มาโดยตลอด เบื้องต้นคาดว่าการใช้ ATK นั้น อาจจะไม่ใช่ปัจจัยหลักในการพิจารณาเปิดภาคเรียน แต่จะเน้นจำนวนครูที่ได้รับวัคซีนเป็นหลักมากกว่า ส่วนการใช้ ATK อาจจะนำมาใช้ในกรณีที่พบผู้ติดเชื้อแล้วต้องมาสุ่มตรวจ หรือนำมาใช้ในพื้นที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตามขอให้รอความชัดเจนอีกครั้ง

“วท.กระบี่”จัดหลักสูตรหลากหลายให้เด็กสายอาชีพต่อยอดสร้างงานสร้างอาชีพเลี้ยงตัวเองได้

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 เมื่อเร็ว ๆ นี้ นางสาวตรีนุช เทียนทอง  รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.)นายสุทธิชัย  จรูญเนตร  ที่ปรึกษารมว.ศึกษาธิการ  นางสาวอรพินทร์  เพชรทัต  เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ  ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (fix it center) กิจกรรมอาชีวะอาสาห่วงใยประชาชน  โดยมี ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดร. ศิวกรณ์ เอ่งฉ้วน ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคกระบี่  ประธานอาชีวศึกษาจังหวัดกระบี่  และคณะผู้บริหาร ครู เจ้าหน้าที่  และตัวแทนนักเรียน นักศึกษา อาชีวศึกษาจังหวัดกระบี่  ให้การต้อนรับ  ณ หมู่บ้านโต๊ะบาหลิว ตำบลศาลาด่าน อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่

  ดร. ศิวกรณ์  กล่าวว่า การจัดตั้งศูนย์ฯดังกล่าว  เป็นการพัฒนาและส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา ได้ฝึกทักษะวิชาชีพ เกิดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ มีจิตอาสา และนำความรู้ที่ได้เรียนมาช่วยเหลือและบริการชุมชน   สำหรับกิจกรรมการให้บริการ เป็นกิจกรรมบริการฟรี ซ่อมเครื่องมือเครื่องจักรกลเรือประมง บริการบำรุงรักษารถจักรยานยนต์  การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์  ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเปลี่ยนหลอดไฟฟ้าภายในบ้าน นอกจากนี้ยังให้บริการจัดสอนวิชาชีพระยะสั้น เช่น  การทำพวงกุญแจตุ๊กตาแฮนด์เมด  ข้าวไข่เจียวทรงเครื่อง  การสอนการทำปลั๊กพ่วงไฟ  การทำสครับจากกาแฟ  การตัดผม   การออกแบบบรรจุภัณฑ์สติ๊กเกอร์สินค้า และร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ของชุมชนเพื่อเพิ่มมูลค่าและการรับรองมาตรฐาน เช่น การทำโลโก้อาหารตามสั่ง  ทำโลโก้ขนมเค้กกล้วย ทำบรรจุภัณฑ์เครื่องแกง และทำรูปภาพครอสติสจากแป้นพิมพ์

ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคกระบี่ กล่าวว่า ทั้งนี้ ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ  เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และคณะ ได้ไปตรวจเยี่ยม ติดตามการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาสู่ความเป็นเลิศของวิทยาลัยเทคนิคกระบี่ โดยได้เยี่ยมชมศูนย์ Excellent Center สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ    พื้นที่ให้บริการพัฒนาอาชีพ ประจำแผนกวิชาช่างยนต์ การทำสบู่เหลวล้างมือจากน้ำมันปาล์มดิบ  ศูนย์ฝึกอาชีพฯ นักเรียน นักศึกษา ร้านกาแฟ  Sawasdee Cup และ Sawasdee Plaza ด้วย

“ครูเหน่ง”ทึ่ง ศูนย์บ่มเพาะอาชีวะอุดรร่วมมือภาคเอกชนฝึกประสบการณ์นักศึกษาได้ผลจริง

เมื่อเร็วๆ นี้น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ และ เรืออากาศโท สมพร ปานดำ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.)พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมชม Beyond Cafe @UDVC แหล่งเรียนรู้เพื่อการฝึกอาชีพ ภายใต้โครงการความร่วมมือการจัดการด้านอาชีวศึกษา ระหว่างวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานีกับ บริษัท BEYOND CAFÉ จำกัด ซึ่งการทำความร่วมมือจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษา เพื่อจัดการเรียนการสอนให้กับนักศึกษา สาขาวิชาต่างๆ ได้แก่ สาขาคหกรรมศาสตร์ สาขาการโรงแรม สาขาการบัญชี สาขาอาหารและโภชนาการ และสาขาการตลาด โดยสถานประกอบการได้สนับสนุนงบประมาณ ครุภัณฑ์ วัสดุ อุปกรณ์ และองค์ความรู้ต่างๆ ให้กับครูผู้สอนรวมถึงให้นักศึกษา ได้ฝึกอาชีพ และฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จริง

น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี เป็นสถานศึกษาที่สามารถดำเนินการตามนโยบายได้เป็นอย่างดีเยี่ยม เป็นต้นแบบให้สถานศึกษาอื่นๆ ดำเนินการในการเป็นศูนย์บ่มเพาะอาชีวศึกษา ที่ได้ประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนซึ่งเป็นมืออาชีพ มาร่วมดำเนินการให้เกิดคุณภาพ และเกิดประโยชน์ ทั้งวิทยาลัยฯ สถานประกอบการ นักศึกษา ตลอดจนชุมชนด้วย ทั้งนี้ Beyond CAFE @UDVC ถือเป็นศูนย์บ่มเพาะที่บรรยากาศดีมาก มีการจัดตกแต่งร้านได้สวยงาม ทันสมัย อาหารและเครื่องดื่มรสชาติดี และการบริการของนักศึกษาก็มีความเป็นมืออาชีพเช่นกัน

ดร.นิรุตต์ บุตรแสนลี ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี ได้รายงานผลการจัดการอาชีวศึกษาสู่ความเป็นเลิศต่อ รมว.ศึกษาธิการ ดังนี้
– การพัฒนาศูนย์บริหารเครือข่ายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (Center of Vocational Manpower Networking Management : CVM) สาขาการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน
– การพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศ Excellent Center สาขาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล
– การจัดหลักสูตรทวิวุฒิ ระหว่างไทย-จีน ที่สำเร็จการศึกษาไปแล้ว จำนวน 2 รุ่น
– การจัดหลักสูตรมาตรฐานนานาชาติของเพียร์สัน BTEC แห่งสหราชอาณาจักร ที่ผ่านการรับรอง จำนวน 3 หลักสูตร คือหลักสูตร E-Sport หลักสูตรAccounting Business และ หลักสูตร Information of Technology
– การเตรียมความพร้อมเพื่อรับการประเมินและรับรองคุณภาพสถานศึกษาด้านการอาชีวศึกษา ระดับภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค (APACC)

ทั้งนี้ รมว.ศึกษาธิการ ยังได้กราบสักการะ “องค์ศรีสุขคเณศ” ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากความศรัทธาและความร่วมมือระหว่าง “วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี”และ“ชมรมศิษย์ศิลป์ถิ่นอุดร” ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจ รวมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประชาชนทุกสาขาอาชีพ และยังเป็นพระพิฆเนศองค์แรกที่รวมบารมีกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอุดรธานีที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดอุดรธานี โดยมี “แปดกร” ซึ่งแต่ละกรจะทรงถือสิ่งของแปดอย่าง แต่ละอย่างแฝงความหมายตาม “มรรคแปด” ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในพื้นที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานีและเปิดพื้นที่ให้ประชาชนทั่วไปได้สามารถกราบไหว้สักการะ โดยวิทยาลัยฯ มีพื้นที่ให้ นักศึกษา สาขาคหกรรมศาสตร์ ได้บริการดอกไม้ พวงมาลัย และเครื่องบูชา ซึ่งถือเป็นศูนย์บ่มเพาะอีกแห่งหนึ่งของวิทยาลัยฯ ที่สร้างโอกาสให้นักศึกษา ได้ฝึกประสบการณ์จริงอีกด้วย

“ตรีนุช”ห่วงเด็กติดจอ แนะครูปรับแนวทางสอนเพิ่มทักษะชีวิต ใช้จอให้น้อยที่สุด

เมื่อวันที่ 23ตุลาคม 2564 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ นายสุทธิชัย จรูญเนตร ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการเตรียมการเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่จังหวัดตรัง

น.ส.ตรีนุช กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยมและรับฟังข้อมูลในพื้นที่ ว่า จากการรับฟังรายงานภาพรวมของจังหวัดตรัง ทราบว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับการฉีดวัคซีนเกือบครบ 100%แล้ว ส่วนนักเรียนอายุ 12-18 ปีที่ประสงค์จะฉีดวัคซีนก็จะได้รับเข็มแรกครบทุกคนภายในเดือนนี้ซึ่งเป็นไปตามแผนที่กำหนด จากนั้นก็จะเริ่มฉีดเข็มสองประมาณปลายเดือนตุลาคม และจะครบภายในเดือนพฤศจิกายน ส่วนการเปิดภาคเรียนที่ 2/2564 ก็จะเปิดวันที่ 1 พฤศจิกายน ตามกำหนด แต่การเปิดแบบOnsite ของจังหวัดตรังตามแผนจะเปิดวันที่ 15 พฤศจิกายน โดยเป็นไปตามแผนการเปิดภาคเรียนที่ 2/2564 ของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด19) หรือ ศบค. ที่มีเงื่อนไข 5 ข้อ สำหรับระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษา คือ 1.การปฎิบัติตามมาตรการกระทรวงศึกษาธิการฉบับที่ 32 มาตรการหลัก + มาตรการเสริม + มาตรการเข้ม 2.ประกาศกระทรวงสาธารณสุขมาตรการ DMHT-RT 3.ครูและบุคลากรต้องได้รับวัคซีน 100% 4.นักเรียนต้องได้รับวัคซีนครบสองเข็ม 85% และ 5. ผู้อาศัยในครอบครัว(กลุ่ม608)ต้องได้รับวัคซีนครบทุกคน ส่วนระดับประถมศึกษาโดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี การเปิดOnsite จะรอการพิจารณาจากคณะกรรมการควบคุมโรคของจังหวัดก่อน โดยในระหว่างที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิด Onsite ก็ให้ใช้รูปแบบการเรียนสอนอีก 4 ออนไปพลางก่อนโดยเลือกใช้ตามความเหมาะสมและบริบทของแต่ละโรงเรียน

“อย่างไรก็ตามในกรณีของเด็กเล็กโดยเฉพาะเด็กที่ต่ำกว่า ป.4 หากยังไม่สามารถให้มาเรียน Onsiteได้ก็อยากให้ดูแลการเรียนการสอนที่มีความยืดหยุ่น ไม่อยากให้เด็กอยู่หน้าจอมากเกินไป ถ้าเป็นไปได้อยากให้หาจุดสมดุลที่ไม่ต้องนั่งจ้องแต่หน้าจอ อยากให้เน้นการสอนทักษะชีวิตหรือให้เด็กทำเป็นโปรเจกต์มากกว่า หรือหากจำเป็นต้องให้เรียนออนไลน์จริงๆก็อยู่หน้าจอน้อยที่สุด แม้แต่เด็กโตในช่วงเปิดภาคเรียน Onsite 1-2 สัปดาห์แรกก็ไม่อยากให้เน้นวิชาการมากเกินไป เพราะเด็กห่างจากการเรียน Onsite มานาน อยากให้มีเรื่องของการปรับตัวก่อน เพื่อให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข”รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

ด้านนายปรีดี เกตุทอง ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคตรัง และประธานอาชีวศึกษาจังหวัดตรัง กล่าวว่า สำหรับการเรียนอาชีวศึกษาซึ่งเน้นในด้านปฏิบัติ ที่เป็นหัวใจสำคัญของการเรียนการสอนในสถานศึกษา ได้จัดวางรูปแบบแนวทางการดำเนินการเตรียมความพร้อมของการเปิดเรียน Onsite ในสถานศึกษา จะจัดผู้เรียน สลับสับเปลี่ยนการเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 20 คน  ส่วนการฝึกปฏิบัติในสถานประกอบการซึ่งเป็นการเรียนตามหลักสูตรอาชีวศึกษาทวิภาคี จะต้องได้รับความยินยอมจาก สถานประกอบการ ผู้ปกครอง อย่างไรก็ตามสถานศึกษาได้เตรียมแผนเผชิญเหตุ หากเกิดเหตุการณ์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 สถานศึกษาจะมอบหมายงานให้ดำเนินการจัดการเรียนเป็นโครงงาน เพื่อให้การเรียนเป็นไปตามหลักสูตร และการประเมินผลการเรียนเมื่อครบ 2 ภาคเรียน รวมถึงให้มีการตรวจด้วยชุดตรวจ ATK ด้วย